2 วัยรุ่นเลือดร้อน "ปาหิน" ใส่รถเก๋งเข้ามอบตัว
2 วัยรุ่นเข้ามอบตัว ต่อ พนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี หลังไม่พอใจถูก "บีบแตร" ใส่หยิบก้อนหินปาใส่รถเก๋ง โดนประตูรถและกระจกเสียหาย
กรณีนายสรณัฐ ฉ่ำกิ่ง อายุ 27 ปี ขับรถยนต์ฮอนด้า รุ่น แอคคอร์ด สีเทา ทะเบียน 1 กฮ 1666 กรุงเทพมหานคร มาบริเวณถนนเสรีไทย แยกบางชัน ขณะรอสัญญาณไฟเพื่อจะเลี้ยวขวามุ่งหน้าถนนรามคำแหง มีรถจักรยานยนต์ 2 คัน ไม่สวมหมวกนิรภัยไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาจอดติดสัญญาณไฟแดง จึงได้"บีบแตร"ใส่ ทำให้รถจยย.ของวัยรุ่นไม่พอใจ เมื่อขับมาถึงแยกไฟแดงลาดบัวขาว จึงลงมาต่อว่ามีปากเสียงกัน ขณะที่รุ่นพี่ที่จยย.มาอีก 1 คัน ได้เข้าห้ามปรามและขอโทษแทนวัยรุ่นทั้งสอง แต่เมื่อเลี้ยวขวาไปตามถนนรามคำแหง ระหว่างซอยรามคำแหง 170 วัยรุ่นทั้งสองขี่จยย. คนซ้อน"ปาหิน"ใส่รถผู้เสียหาย ถูกประตูและกระจกด้านหลัง และได้ก่อเหตุอีกครั้งที่บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันบางจากซอยรามคำแหง 164 ถึง 166 โดย "ปาหิน"ใส่ประตูและกระจกด้านหลังรถของผู้เสียหายอีก ก่อยผู้เสียหายจะเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ไชยยัณห์ จันทร์ทอง รองสว.(สอบสวน)สน.มีนบุรี
ความคืบหน้าคดีนี้ที่ สน.มีนบุรี เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 11 พ.ย.ผู้ปกครองของนายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 17ปี ได้พาเยาวชนทั้ง 2 คนเข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.กฤษ ก้อมน้อย ผกก.สน.มีนบุรี พร้อมนำรถยนต์รถจยย.ฮอนด้า รุ่นเวฟ 110ไอ สีน้ำเงินเทา ทะเบียน 4 ขณ 8437 กรุงเทพมหานคร ที่ใช้ก่อเหตุมาส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่"ตำรวจ" โดยเยาวชนทั้ง 2 รับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ "ปาหิน"ใส่รถของผู้เสียหายในคืนวันเกิดเหตุจริง เนื่องจากความไม่พอใจที่ถูกบีบแตรไล่บริเวณแยกบางชัน ประกอบกับมีความมึนเมาจากการดื่มสุรา
โดย พ.ต.อ.กฤษได้ติดต่อนายสรณัฐมาพบเพื่อเจรจาค่าเสียหาย พร้อมกับได้อบรมสั่งสอนเยาวชนทั้งสองให้กลับตัวกลับใจประพฤติตัวใหม่ให้ถูกกฎหมาย ไม่ทำความผิดเช่นนี้อีก พร้อมดำเนินการแจ้งข้อหา ขับขี่รถจยย.อุปกรณ์ไม่สมบูรณ์, ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจยย., ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจยย., ขับรถไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นและร่วมกันทำให้เสียหายซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น
ขณะที่นายสรณัฐกล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งสองได้กล่าว ขอโทษ ที่ทำไปเพราะเมา เรื่องความเสียหายในการซ่อมรถ 35,000 บาท ได้ให้ บ.ประกัน ดำเนินการ ส่วนตัวไม่อยากเอาเรื่อง จึงได้พูดเตือนว่า อย่าทำแบบนี้กลับใครอีก ตนไม่ได้ติดใจตั้งแต่พี่ของน้องทั้งสองเข้ามาขอโทษแล้ว เรื่องก็น่าจะจบ แต่ไม่จบเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้สึกกลัว เพราะบริเวณที่เกิดเหตุมันมืด ไม่รู้ว่าเขามีอาวุธหรือไม่ น้องยังเป็นเยาวชนอยากให้โอกาสได้กลับตัว เหตุการณ์ครั้งนี้ขอเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนว่าควรมีสติ ข่าวเคสลุงวิศวะก็เป็นอุทาหรณ์ว่าจะต้องพยายามใจเย็นเข้าไว้ นึกนึกอนาคตไว้ดีกว่า