จดทะเบียน 'มูลนิธิ' ให้ถูกต้องไม่เป็นมูลนิธิเถื่อนเหมือน มูลนิธิเป็นต่อ
ขั้นตอนจดทะเบียน 'มูลนิธิ' อย่างไรให้ถูกต้องไม่กลายเป็นมูลนิธิถื่อนเหมือน มูลนิธิเป็นต่อ ของ สารวัตรซัว จดทะเบียนมูลนิธิต้องทำอย่างไรบ้าง
ชื่อของ สารวัตรซัว ถูกพูดถึงอย่างมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา นอกจากนี้การเปิดเว็ปพนันออนไลน์แล้ว เป็นต่อกรุ๊ปยังเป็นอีกธุรกิจที่ถูกเจ้าหน้าตำรวจขุดต่อไปหยุด จนพบว่ามีการจัดตั้ง "มูลนิธิ" ขึ้นมา ซึ่งภายหลังพบว่า เป็นการตั้ง "มูลนิธิ" โดยไมได้รับอนุญาติที่ถูกต้อง
ย่างไรก็ตามสำหรับกรณีการจัดตั้ง "มูลนิธิ" ขึ้นมาสักแห่งนั้นหลายคนอาจจะยังข้องใจว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้กลายเป็นมุลนิธิเถื่อนเหมือนกับ มูลนิธิเป็นต่อ ของ สารวัตรซัว
มูลนิธิ คืออะไร
"มูลนิธิ" ถือว่าเป็นนิติบุคคลอีกรูปแบบหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและอาญาและนิติบุคคลเพื่อถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งได้รับมาโดยการจัดสรรให้เป็นของมูลนิธิหรือได้รับริจาคเพิ่มเติมในภายหลัง โดยวัตถุประสงค์และการดำเนินงานของมูลนิธิ ต้องเป็นไปเพื่อการกุศล สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยไม่ได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน คณะกรรมการจะต้องควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับทีกำหนดไว้ โดยเป็นการ นำเอาเงินสด และอสังหาริมทรัพย์มารวมกันเข้าเป็นกองทุน เพื่อทำกิจกรรมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ของการจัดตั้งมูลนิธิ
มูลนิธิแตกต่างกับสมาคมอย่างไร
"มูลนิธิ" มีความแตกต่างจากสมาคม ตรงที่มูลนิธิไม่มีสมาชิกและไม่มีที่ประชุมใหญ่สมาชิก ดังนั้นจึงไม่มีการกำกับดูแลจากภายในเหมือนกันสมาคม แต่มีการกำกับดูแลภายนอกโดยรัฐ โดยนายทะเบียนมูลนิธิ หรือโดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
การจดทะเบียนจัดตั้ง "มูลนิธิ" เพื่อไม่ให้มูลนิธิกลายเป็นมูลนิธิเถื่อนเหมือนของ สารวัตรซัว
หลักเกณฑ์การจัดตั้งมูลนิธิ
กองทุนที่เป็นเงินสดไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ในกรณีที่มีทรัพย์สินอย่างอื่น ในจำนวนนั้นต้องมีเงินสดเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 250,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมเงินสดและทรัพย์สินอย่างอื่นแล้วต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500,000 บาท
หากเป็นการจัดตั้ง มูลนิธิ ขึ้นมานั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการสังคมสงเคราะห์ ส่งเสริมการศึกษา การกีฬา ศาสนา สาธารณภัย และเพื่อการบำบัดรักษา ค้นคว้า ป้องกันผู้ป่วยจากยาเสพติด เอดส์ หรือมูลนิธิที่ก่อตั้งโดยหน่วยงานของรัฐจะได้รับการผ่อนผันให้มีทรัพย์สินเป็น กองทุนไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ซึ่งในกรณีที่มีทรัพย์สินอย่างอื่นอยู่ด้วยจะต้องมีเงินสดไม่น้อยกว่า 100,000 บาทซึ่งเมื่อรวมเงินสดและทรัพย์สินอย่างอื่นแล้วต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
การจดทะเบียนมูลนิธิ จะต้องดำเนินการดังนี้
1.คณะกรรมการที่เป็นบุคคลอย่างน้อย 3 คน เป็นผู้ดำเนินกิจการของมูลนิธิโดยจัดเตรียม รายชื่อ อายุ ที่อยู่ อาชีพ หมายเลขโทรศัพท์ ตำหน่งของกรรมการทุกคน พร้อมสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านกรรมการทุกท่าน
2.สำเนาพินัยกรรมในกรณีที่ขอทำการจดทะเบียนมูลนิธิหรือการจัดสรรทรัพย์สินสำหรับมูลนิธิ
3.สำเนาภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวอื่นที่ส่วนราชการหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจออกให้ และสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านของบุคคลตาม หรือหลักฐานอื่นที่สามารถแสดงสถานภาพของบุคคลและถิ่นที่อยู่ในทำนองเดียวกันในกรณีที่ บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ไม่มีหลักฐานตามที่กำหนด เช่น คนต่างด้าวหรือพระภิกษุ
4.แผนผังโดยสังเขปแสดงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และที่ตั้งสำนักงานสาขาทั้งปวง รวมทั้งต้องแสดงหนังสืออนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองให้ใช้สถานที่
5.หนังสืออนุญาตให้ใช้สถานที่เป็นที่ตั้งมูลนิธิ จากเจ้าของหรือผู้ครอบครอง พร้อมแนบเอกสารหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในการครอบครองของ ผู้อนุญาต ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน ใบอนุญาตก่อสร้าง โฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขายที่ระบุหมายเลขประจำบ้าน เป็นต้น
ขั้นตอนการขอจัดตั้งมูลนิธิ
1.ดำเนินการยื่นแบบคำขอ พร้อมเอกสารประกอบตามที่ราชการกำหนดที่กรุงเทพมหานคร ยื่นที่สำนักงานเขต/ที่ว่าการอำเภอ/กิ่งอำเภอ
2.สำนักงานเขตตรวจสอบเอกสารได้รับคำขอการจัดตั้ง จะดำเนินการตรวจสอบ
ตรวจสอบความถูกต้องของคำขอและข้อบังคับ
ตรวจสอบวัตถุประสงค์ การจัดตั้งว่าขัดต่อหลักจริยธรรมหรือไม่
ตรวจสอบประวัติผู้ที่จะมาเป็นคณะกรรมการ โดยจะต้องมีฐานะและความประพฤติที่เหมาะสม
3.สำนักงานเขต หรืออำเภอ/กิ่งอำเภอ จะต้องตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของเอกสารก่อน หลังจากนั้นจะเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อนายทะเบียน
4.หลังจากนายทะเบียนรับผิดชอบจดทะเบียน และจะออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนมูลนิธิ (ม.น.3) และส่งประกาศรับจดทะเบียนมูลนิธิ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วส่งเรื่องคืนไปยังสำนักงานเขต หรืออำเภอ/กิ่งอำเภอ และแจ้งให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบเพื่อขอรับใบสำคัญฯ และชำระค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงฯ