ข่าว

รวบอดีต 'พระอาจารย์คม' สึกเงียบก่อนหอบเงิน 180 ล้านหนีพร้อมเจ้าอาวาส

รวบอดีต 'พระอาจารย์คม' สึกเงียบก่อนหอบเงิน 180 ล้านหนีพร้อมเจ้าอาวาส

06 พ.ค. 2566

ตำรวจรวบ "อดีตพระอาจารย์คม" พร้อมด้วยอดีตเจ้าอาวาส วัดป่าธรรมคีรี (ธรรมยุต) ศูนย์ปฏิบัติธรรมวิปัสสนา ปากช่อง ค้นในบ้านน้องสาวพระคมซุกเงินสด ที่ยักยอกมากว่า 51 ล้านบาท

6 พ.ค. 2566  พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) พร้อมด้วย นายอินทพร จั่นเอี่ยม รอง ผอ. รักษาราชการแทน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาต (พศ.)  แถลงการจับกุม อดีตพระวชิรญาณโกศล หรือ พระอาจารย์คม อายุ 39 ปี และ นายวุฒิมา หรือ พระหมอ และน.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาว ของอดีตพระอาจารย์คม พร้อมเงินที่ตรวจยึดได้จากบ้านของ น.ส.จุฑาทิพย์ จำนวนกว่า  51 ล้านบาท  

 

กองปราบฯ รวบอดีตพระอาจารย์คม กับพวก ยักยอกเงินวัด 180 ล้านบาท

 

 

นายอินทพร  รอง ผอ.สำนักพุทธฯ เปิดเผยว่าทาง พศ. ได้รับเรื่องร้องเรียนในทางลับให้ตรวจสอบพฤติกรรมของอดีตพระอาจารย์คม ในกรณี 2 พฤติกรรม คือ อาจมีพฤติกรรมผิดธรรมวินัยร้ายแรง โดยมีข้อกล่าวหาว่าเสพเมถุน  และเรื่องการบริหารเงินของวัดไม่โปร่งใส โดยมีการนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และอาจจะมีการยักยอกเงินของวัดไปเป็นเงินของส่วนตัว

 

 

กองปราบ และ พศ.แถลงจับอดีตพระคม กับพวก ยักยอกเงินวัด 180 ล้านบาท

 

 

ในส่วนประเด็นการประพฤติผิดในพระธรรมวินัย ได้มีการแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองทราบ และมีการสืบหาข้อเท็จจริงในทางลับ  ปรากฎว่ามีพฤติกรรมส่อไปทางในเสพเมถุน และอดีตพระอาจารย์คม ยอมรับว่ามีพฤติกรรมนั้นจริง ส่วนประเด็นการตรวจสอบการยักยอกเงินวัด ทาง พศ.ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบเส้นทางเงินได้ จึงได้ประสานตำรวจกองปราบ ให้ช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย เพราะว่ามีความเสียหายเป็นวงเงินจำนวนมาก 

 

 

อดีตพระอาจาร์ยคม ถูกจับพร้อมเงินสดที่ยักยอกมา

 

 

หลังจากที่ บก.ป.ได้รับการประสานจาก พศ.ให้ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของ นายคม  หรือพระอาจารย์คม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนและเข้าทำการตรวจสอบภายในวัด ตามข้อร้องเรียนดังกล่าวพบว่า พระอาจารย์คม ผู้ต้องหา ในคดีนี้เป็นพระผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่างๆ ของวัดรวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญกับทางวัดร่วมกับ พระหมอ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัด มีพฤติการณ์นำเงินทำบุญบางส่วนของวัดไปใช้จ่ายส่วนตัว

 

 

เงินสดที่อดีตพระอาจารย์คมฯ ยักยอกมา 180 ล้าน

 

 

เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับ และเข้าจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย คือ 

1.นายคม หรือ พระอาจารย์คม อายุ 39 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 65/66 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

 

 

ตร.บุกค้นบ้านน้องสาว อดีตพระอาจารย์คม

 

 

2.นาย วุฒิมา หรือพระหมอ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 64/2566 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

 

 

เงินสดที่พบในบ้านน้องสาว อดีตพระอาจารย์คม จำนวน 51 ล้าน

 

 

3.น.ส.จุฑาทิพย์ฯ อายุ 35 ปีผู้ต้องหา ตามหมายจับหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 66/2566 ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และรับของโจร”

 

 

เงินสดที่พบในบ้านน้องสาว อดีตพระอาจารย์คม จำนวน 51 ล้าน

 

 

เบื้องต้นทราบว่าได้มีการสั่งการให้เจ้าอาวาสนำเงินสดไปมอบให้ น.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาวของพระอาจารย์คม  เพื่อฝากเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่าได้นำเงินของวัดออกมาจริง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนเพิ่มเติม และเข้าค้นบ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์  พบเงินสดกว่า 51 ล้านบาทที่ถูกเก็บไว้ในลังโฟมและกระเป๋าเดินทางในบ้านพักดังกล่าว และพบเงินวัดที่อยู่ในบัญชีเบื้องต้นกว่า 130 ล้านบาท รวมยอดกว่า 180 ล้านบาท

 

 

เงินสดที่พบในบ้านน้องสาว อดีตพระอาจารย์คม จำนวน 51 ล้าน

 

 

ในส่วนของพฤติการณ์อื่นๆ ยังปรากฎข้อเท็จจริงที่ทางผู้ต้องหาให้การรับสารภาพเพิ่มเติมอีกว่า ในระหว่างที่ตนถือสมณเพศนั้น ได้มีการเสพเมถุนภายในกุฏิของวัดซึ่งถือเป็นการอาบัติปาราชิก ตามข้อบัญญัติทางธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง ทางผู้ต้องหาจึงสมัครใจที่จะลาสิกขา

 

 

ผังความเชื่อมโยงกรณี อดีตพระอาจารย์คม

 

 

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังมีตรวจสอบเพิ่มเติมว่าจะมีผู้ร่วมในการกระทำความผิดเพิ่มเติมอีกหรือไม่