ปส.ลุยจับ 4 ผู้ต้องหาเครือข่ายลำน้ำโขง 'ยาบ้า' 7 ล้านเม็ด ส่งต่อประเทศที่ 3 | คมชัดลึก

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) สกัดจับเครือข่ายยาเสพติด และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทย โดยได้เฝ้าติดตามเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดข้ามลำน้ำโขง บริเวณตะเข็บชายแดนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อส่งต่อให้กับผู้ค้าในภาคกลางและภาคใต้ ก่อนไปสู่ประเทศที่ 3 
 

พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 สั่งการให้ พ.ต.อ.เฉลิมชัย ไวยสุระสิงห์ ผกก.3 ปส.2 นำกำลังตำรวจ ปส.2  สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวขบวนการค้ายาเสพติดข้ามแม่น้ำโขง จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนลำเลียงยาเสพติดลอตใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามฝั่งโขงมาส่งให้ขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศไทย 

 

 

 

 

จึงได้วางกำลังตำรวจ ปส.2 เฝ้าระวังตลอดพื้นที่ที่เป็นจุดผ่านยาเสพติดตามแนวชายแดน จ.นครพนม และ จ.สกลนคร  ต่อมาวันที่ 16 พ.ค. 2566 เวลาประมาณ 04.00 น. เจ้าหน้าที่พบกลุ่มรถกระบะต้องสงสัย วิ่งไปตามเส้นทางริมลำน้ำโขง ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีรถนำสำรวจเส้นทาง เพื่อสำรวจด่านตรวจรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีรถที่ขับตาม

 

 

 

 

ตำรวจ ปส.2 ได้ติดตามไปจนกระทั่งรถกระบะ 2 คัน ขับขี่เข้าไปในปั้มน้ำมัน ปตท.สมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ตำรวจ ปส.2 จึงได้สกัดจับกุม 4 ผู้ต้องหา พร้อมรถกระบะ 2 คัน หมายเลขทะเบียน บน -6XX นครพนม มีนายสุริยันต์ เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.พลา นั่งไปด้วย และ รถกระบะหมายเลขทะเบียน บว -54XX สกลนคร  มีนายชิณวัตร เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.ปรียาพร นั่งไปด้วย

 

 

 

 

 

จากการตรวจค้นรถกระบะหมายเลขทะเบียน บน -6XX นครพนม พบยาบ้า 14 กระสอบ รวม 7 ล้านเม็ด ตำรวจ ปส. ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ข้อหา “ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1(เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”

 

 

 

และยึดยาเสพติดและรถกระบะ 2 คันไว้เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดย ตำรวจ ปส.2 จะขยายผลติดตามจับกุมผู้สั่งการซึ่งเป็นชาวไทยที่หลบหนีคดียาเสพติดไปอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

 

 

 

 

สำหรับยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้น พนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป