บิ๊กโจ๊ก ลั่น 'นักข่าวสาว' ชาวจีน อ้างชื่อ เรียก 33 ล้าน เป็นคดีตัวอย่าง
บิ๊กโจ๊ก ลั่น 'นักข่าวสาว' ชาวจีน อ้างชื่อ เรียกเงิน 33 ล้าน ให้เป็นคดีตัวอย่าง นักข่าว หรือ คนสนิท รายอื่น อย่าทำ ฟันไม่เลี้ยง
การจับกุม "นักข่าวสาว" ชาวจีน (ลูกครึ่งไทย - ไต้หวัน) โดยแอบอ้างชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หรือ บิ๊กโจ๊ก เรียกรับเงินจาก น.ส.นวพร ภาเกียรติสกุล อายุ 53 ปี เจ้าแม่แก๊งอุ้มบุญ ทุนจีนสีเทา เป็นเงิน 33 ล้านบาท เพื่อล้มคดี แต่ น.ส.นวพร จ่ายเพียง 14 ล้านบาท
คดีที่เกิดขึ้น กลายเป็นเรื่องอื้อฉาว โดย รอง ผบ.ตร. ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง เพราะพยานหลักฐานชัด โดยร่วมก่อเหตุกับสามีจีน และยอมรับว่า มีความสนิทสนม จากที่เคยช่วยงานทั้งฝ่ายหญิง-ชาย แต่ก็พร้อมดำเนินการ หากทำผิด หวังคดีช่วยปรามคนใกล้ชิด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่ต้องทำ เพราะสร้างความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตนเอง รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ส่วนสาเหตุที่ได้รับการประกันตัว เพราะเป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน เจ้าของสำนวนคดี โดยใช้หลักทรัพย์สูงสุด 3.5 ล้านบาท พร้อมขึ้นบัญชี ห้ามเดินทางออกนอกประเทศจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า ผู้ต้องหา มีความสนิทสนมกับตน ตั้งแต่อยู่หน่วยงานตำรวจท่องเที่ยว เนื่องจากผู้ต้องหาเคยช่วยงานในภารกิจเหตุเรือล่มของนักท่องเที่ยวจีน และเคยให้ข้อมูลเกี่ยวธุรกิจทุนจีนสีเทา แต่เมื่อมีการอ้างชื่อตน เพื่อเรียกรับเงินในลักษณะนี้ ก็จำเป็นต้องดำเนินการ
"ยืนยันมีหลักฐาน ประจักษ์พยานที่ยืนยันการกระทำของผู้ต้องหาได้ แม้การเรียกรับเงินจะเป็นเงินสดก็ตาม" รอง ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า คดีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำผิดเพียงลำพัง แต่กระทำผิดร่วมกับสามีชาวจีนที่ใช้ชื่อไทย ซึ่งถูกจับกุมไปเมื่อเดือน ก.พ. ก่อนจะขยายผลจับกุม ซึ่งตนได้รับข้อมูลพฤติกรรมของผู้ต้องหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานที่จะยืนยันพฤติกรรมของทั้งคู่ได้ กระทั่งมาถึงคดีของน.ส.นวพร ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูล ประกอบกับมีหลักฐานอื่นๆ และมีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำดังกล่าว
รอง ผบ.ตร. ย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการปรามนักข่าว รวมถึงบุคคลใกล้ชิดตนที่คิดใช้ชื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่ชอบ ทั้งนี้ ไม่ได้โกรธ แต่วางเฉยการกระทำลักษณะนี้ไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาหลังได้รับการประกันตัว ได้ติดต่อมาเพื่อขอเข้าพบ และขอพาสปอร์ตคืน เพื่อเดินทางไปยังฮ่องกง โดยอ้างว่ามีประชุมของบริษัท แต่ไม่สามารถอนุญาตได้ ต้องรอให้คดีถึงที่สุด และหลังจากนี้ ก็ให้ผู้ต้องหาไปต่อสู้ในชั้นศาล
สำหรับกรณีที่ผู้ต้องหาโพสต์ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ถูกแก้แค้นจากทุนจีนสีเทา และยืนยันไม่ได้กระทำผิดนั้น เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธ และเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่หากไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ศาลจะไม่อนุมัติหมายจับ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า นักข่าวสาว มีสัญชาติจีน แต่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี และภายหลังให้การช่วยเหลือเป็นล่ามภาษา กลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย เคยได้รับการไว้วางใจ แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกันปรามปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2566 แต่ภายหลังสถานะตกเป็นผู้ต้องหา รอง ผบ.ตร. กำลังดำเนินการปลดจากตำแหน่งทันที โดยผู้ต้องหา ปัจจุบันถือวีซ่า Thailand Privilege Card หรือ วีซ่าประเภทพิเศษสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติ