'ป.ป.ส.' ทลายเครือข่ายส่ง 'เฮโรอีน' ทางพัสดุไปต่างประเทศ 'ยึดทรัพย์' 2 ล้าน
'ป.ป.ส.' ปิดล้อมตรวจค้น 3 จุด 'กทม.-จันทบุรี-ระยอง' ทลายเครือข่ายซุก 'ยาเสพติด' ส่งพัสดุไปต่างประเทศ ผู้ต้องหาไหวตัวหนีทัน 'ยึดทรัพย์' สินกว่า 2 ล้านบาท
6 ส.ค. 2566 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยถึงการขยายผลปิดล้อมตรวจค้น 3 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จันทบุรี และระยอง เพื่อติดตามผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับ 2 ราย โดยสามารถยึดทรัพย์สินได้กว่า 2 ล้านบาท
สำหรับการขยายผลปิดล้อมดังกล่าว เป็นปฏิบัติการของหน่วยสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task force : AITF) และหน่วยสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force : SITF) ที่เป็นความร่วมมือของ กรมศุลกากร กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ศูนย์รักษาความปลอดภัย และ สำนักงาน ป.ป.ส.
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2566 หน่วย AITF ได้จับกุมนายสุรพงศ์ (สงวนนามสกุล) พร้อมเฮโรอีน น้ำหนัก 2.8 กก. ซุกซ่อนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คอลลาเจนผสมรังนก จำนวน 19 ถุง บรรจุอยู่ในพัสดุระหว่างประเทศ จำนวน 2 กล่องเตรียมจัดส่งปลายทางประเทศออสเตรเลีย เหตุเกิดที่ บริษัทขนส่งสินค้าเอกชน เขตบึงกุ่ม กทม.
นายวิชัย เปิดเผยอีกว่า หลังจากการจับกุมได้มอบหมายให้ นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด ติดตามขยายผลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งสืบสวนทราบว่าเครือข่ายดังกล่าวมี นายภูธฤทธิ์ หรือ บอส มีบทบาทเป็นผู้สั่งการ และ น.ส.มัทนา หรือ จ๋อม มีบทบาท เป็นผู้นำยาเสพติดมาส่งให้ นายสุรพงศ์ ชุดปฏิบัติการจึงได้นำหมายค้นเค้าปิดล้อมตรวจค้นใน 3 จุด (กทม. จันทบุรี ระยอง) ซึ่งผู้ต้องหาตามหมายจับไหวตัวหลบหนีไปได้
โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาได้แก่ บ้านพร้อมที่ดิน, รถยนต์, ตู้เซฟ และสมุดบัญชีธนาคาร รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 2 ล้านบาท และพบถุงที่ใช้ใส่ยาเสพติดและอุปกรณ์การเสพ ในอพาร์ทเม้นในพื้นที่ จ.ระยอง ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จะดำเนินการสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักของผู้ต้องหาตามหมายจับทั้ง 2 คน เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า กลุ่มลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านพัสดุไปยังต่างประเทศเป็นกลุ่มที่เราต้องจับตาและจัดการอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกไม่เพียงแค่แต่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเราได้มีการจัดตั้งหน่วย AITF และ SITF ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อควบคุมจุดที่นำเข้า-ขนส่งพัสดุหรือสินค้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่กระบวนการหาข่าว ตรวจยึด ไปจนถึงการขยายผล และตนได้เน้นย้ำให้เร่งขยายผลในทุกการตรวจยึดจับกุมพัสดุที่มีการซ่อนยาเสพติด
โดยการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านพัสดุ ข้อมูลผู้รับผู้ส่งจะมีการระบุไว้ ซึ่งทำให้สามารถขยายผลถึงขบวนการผู้กระทำผิด และยึดทรัพย์เช่นในกรณีนี้ และต้องขอเน้นย้ำว่าเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการขนส่งพัสดุที่ต้องเข้มงวดในการให้บันทึกข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ส่งและผู้รับในการรับ-ส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรณีพบการกระทำผิดกฎหมายด้วย
เลขาธิการ ป.ป.ส. ย้ำว่า บริษัทขนส่งพัสดุต้องในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานของการส่งพัสดุทุกครั้ง และต้องมีการคัดกรองประวัติของผู้ที่จะเข้ามาพนักงาน โดยหากผู้ประกอบการฝ่าฝืน ปล่อยปะละเลยให้มีการขนส่งยาเสพติดผ่านบริษัทของตนเอง จะมีโทษปรับ 50,000 บาทต่อครั้ง หากกระทำผิดซ้ำก็จะพิจารณาโทษทางอาญา หรือ เพิกถอนใบอนุญาต