ปคบ.-อย. ยึด 'ยาจุดกันยุงจีน' อบสารเคมีอันตรายขายราคาถูก สูดดมเสี่ยงหมดสติ
ปคบ. ร่วมกับ อย. บุกโรงงานผลิต "ยาจุดกันยุง" และร้านค้าใน 3 จังหวัด ยึดของกลางกว่า 2 แสนกล่อง มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท เจ้าของโรงงาน สารภาพสั่งซื้อ "ยาจุดกันยุงจีน" มาอบสารเคมี ขายราคาถูก เตือนอันตรายสูดดมมากเสี่ยง ชัก หมดสติได้
22 ก.ย. 2566 ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) พร้อมด้วย คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำกำลังเข้าจับกุมโรงงานผลิตยาจุดกันยุงเถื่อน และจุดกระจายสินค้าอีก 3 จังหวัด พร้อมยึดของกลาง ที่มีสารเคมีอันตรายจำนวน 227,000 กล่อง มูลค่า 4,540,000 บาท
พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ อย.ตรวจสอบ พบยาจุดกันยุงจีน ยี่ห้อ Goldeer และ Laojun ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่มีเลขผลิตภัณฑ์ วางจำหน่ายในสื่อโซเชียล และตามร้านค้าขายปลีก ซึ่งบางยี่ห้อหน้ากล่องเป็นรูปเด็กอ่อน ทำให้ประชาชนหลงผิด คิดว่าไม่มีสารเคมีอันตราย อีกทั้งยังราคาถูกกว่าท้องตลาด จึงเป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไป โดยไม่ได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารเคมีวัตถุอันตรายที่เป็นส่วนผสม
จากนั้นทาง อย.ได้นำมาตรวจสอบสอบ พบมีสารเคมีในกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethriods) เมเพอร์ฟลูทริน (Meperfluthrin) และ ไดมีฟลูทริน (Dimefluthrin) ซึ่งมีพิษต่อคนและสัตว์ หากสูดดมควันในปริมาณมาก อาจทำให้รู้สึกมึนงง ปวดศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก อ่อนเพลีย ชัก หรือหมดสติได้
เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันสืบสวน ก่อนบุกเข้าตรวจค้นโรงงานผลิต ในจังหวัดสมุทรสาคร และที่จุดกระจายสินค้าอีก 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยนาท อ่างทอง และสุพรรณบุรี พร้อมยึดของกลางได้จำนวนมาก
จากการสอบสวน นางณัธวรรณ (สงวนนามสกุล) เจ้าของโรงงานให้การว่า ได้สั่งซื้อยาจุดกันยุง ชนิดขดสีดำ จากประเทศจีน นำเข้ามาเพื่ออบสารเคมีที่ใช้ไล่ยุงจริง โดยสารเคมีที่ใช้อบยาจุดกันยุงไม่ได้ขออนุญาตนำเข้าและผลิตเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด จากนั้นได้นำมาบรรจุในกล่องผลิตภัณฑ์ จำหน่ายให้ร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ
ส่วนเจ้าของร้านค้าส่ง 3 ร้าน ให้การยอมรับว่าได้ซื้อมาจากชาวจีนและคนไทย โดยไม่ทราบชื่อสกุลจริง ในราคากล่องละ 12 บาท นำมาขายกล่องละ 18 - 20 บาท จึงได้ตรวจยึดไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ก่อนพิจารณาแจ้งข้อหาโรงงานฐาน "ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตวัตถุอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียน" ส่วนร้านค้า พิจารณาแจ้งข้อหาฐาน "ครอบครองวัตถุอันตราย" ต่อไป