ย้อนเส้นทาง 'บิ๊กโจ๊ก' พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่ใช่ โจ๊กหวานเจี๊ยบ ดั่งฉายา
ย้อนเส้นทาง 'บิ๊กโจ๊ก' พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ไม่ได้เป็น 'โจ๊กหวานเจี๊ยบ' สมกับฉายา
ปฏิบัติการฟ้าสาง ตำรวจไซเบอร์ พร้อมคอมมานโด บุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ย่านวิภาวดี 60 หลังพบคนใกล้ชิดมีส่วนเกี่ยวข้อง พ.ร.บ.การพนัน เมื่อปี 2566 จนสุดท้าย เขาถูกแจ้ง 2 ข้อกล่าวหา คดีที่พบความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มบัญชีม้าเครือข่ายเว็บพนันของมินนี่ คมชัดลึกออนไลน์ พาย้อนเส้นทาง “บิ๊กโจ๊ก” ที่ชีวิตเต็มไปด้วยขวากหนาม ไม่ได้ หวานเจี๊ยบ เหมือนกับฉายา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” เกิดเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2513 เป็นคน อ.สะเดา จ.สงขลา เรียกว่าเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น เพราะเขาเป็นบุตรของ ด.ต.ไสว หักพาล
บิ๊กโจ๊ก จบการศึกษา ในชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ และโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 ระดับชั้นปริญญาตรี รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 47 เป็นหัวหน้านักเรียนของ นรต.รุ่น47 ระดับปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล
โดยสามารถสอบคัดเลือกเข้าเรียนได้เป็นอันดับ 1 และระดับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และระดับ ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันกำลังศึกษา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคค่ำ (นอกเวลาราชการ) หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน
นอกจากนี้ เขายังจบหลักสูตร และ รับมอบประกาศเกียรติบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 21 (ปปร.21) จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี
เส้นทางตำรวจ
บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เริ่มรับราชการตำรวจ ในปี 2537 ตำแหน่งรองสารวัตร จนได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นเป็นลำดับ ดังนี้
- ปี 2543 สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 จ.เชียงใหม่
- ปี 2545 สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 3 จ.ชลบุรี
- ปี 2546 ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ
- ปี 2547 ผู้ช่วยนายเวรตำรวจราชสำนักประจำให้กับ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
หลังจากได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พ.ต.อ.ได้รับตำแหน่งผู้กำกับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่อำนวยการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- ปี 2552 เป็นผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
- ปี 2554 เป็นผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 10 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
- ปี 2555 เป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการณ์ตำรวจภูธร จ.สงขลาส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอ ใน จ.สงขลา ที่เป็น “พื้นที่สีแดง” เสี่ยงต่อภัยความไม่สงบบริเวณชายแดนภาคใต้
- ปี 2558 เป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานกับนายกรัฐมนตรี รายงานต่อ พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น
- ปี 2558 เป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว
- ปี 2559 เป็นผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
- ปี 2560 รักษาการรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จนได้เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
เส้นทางชีวิตที่มีแต่ขวากหนาม
- วันที่ 5 เม.ย. 2562 มีคำสั่งฟ้าผ่า จาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นที่รู้กันดีในแวดวงสีกากี คำสั่งนี้ คือการดอง
- วันที่ 9 เม.ย. 2562 มีคำสั่งฟ้าผ่าที่สอง จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ให้บิ๊กโจ๊ก ขาดจากตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทนักบริหารระดับสูง ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และถูกเพิ่มรายชื่อในบัญชีเพื่อได้รับการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องด้วยมีมูล ถูกกล่าวหา เกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
- วันที่ 6 ม.ค. 2563 รถยนต์ส่วนตัวของบิ๊กโจ๊ก ถูกยิง สื่อหลายแห่งตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการที่บิ๊กโจ๊ก ออกมาเปิดโปงการทุจริต โครงการจัดซื้อจัดจ้างรถตรวจการณ์ไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ครั้งนั้น มีคลิปเสียงหลุด ที่อ้างว่าเป็น พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สั่งยิง จนถูกสำรองราชการ
หลังจากนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ได้ลากิจไปบวชที่อินเดียเป็นเวลา 9 วัน และกลับมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในชีวิตข้าราชการพลเรือนไปถึง 2 ปีเต็ม ท่ามกลางกระแสข่าว เขาพยายามทุกวิถีทางจะโอนกลับไปรับราชการตำรวจอีกครั้งให้ได้ เพราะอายุราชการยังยาวไกลไปถึงปี 2574
ในปี 2564 บิ๊กโจ๊ก กลับมาผงาดอีกครั้ง เลื่อนจาก ที่ปรึกษา (สบ 9) สตช. ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ถือเป็นตำรวจอีกหนึ่งนาย ที่ขยับขึ้นเป็นระดับนายพลในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะขยับเป็น รอง ผบ.ตร. เพราะการเลื่อนเป็นไปตามลำดับอาวุโส โดยในปี 2565 ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลงถึง 4 ตำแหน่ง จึงมีชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล
“บิ๊กโจ๊ก” เริ่มกลับมาทำผลงานในหลายคดี และด้วยบุคลิกเวลาแถลงข่าว หรือสัมภาษณ์ จะเป็นไปแบบนุ่มนวล เขาจึงได้รับฉายาจากสื่อว่า “โจ๊กหวานเจี๊ยบ”
การเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในวันที่ 30 ก.ย. 2566 “บิ๊กโจ๊ก” มีชื่อเป็น 1 ใน 4 แคนดิเดตที่จะมีโอกาสขึ้นเป็น “ผบ.ตร.คนที่ 14” ชีวิตของบิ๊กโจ๊ก จึงเริ่มขยับ ทำผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะคดี “กำนันนก” สั่งยิง “ตำรวจทางหลวง” ที่เขาออกตัวทำคดีอย่างเต็มตัว แต่สุดท้ายฟ้าผ่าอีกครั้ง เมื่อ ผบ.ตร. มีคำสั่งให้โอนคดีกำนันนก ไปให้กองปราบรับช่วงต่อแทน
ดูเหมือนขวากหนามไม่จบแค่นั้น ก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่อีกรอบ กับการถูกบุกค้นบ้านช่วงฟ้าสาง หลังถูกโยงเอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ ในช่วงใกล้วันแต่งตั้ง “ผบ.ตร.คนที่ 14”
ครั้งนั้น ถูกมองว่า ดูเหมือนจะเป็นการสกัดดาวรุ่งหรือไม่ แต่เมื่อไล่เรียงลำดับอาวุโส เขายังมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพสีกากีได้อีกหลายปี ไม่เป็นปีนี้ เขาก็ยังมีสิทธิเดินทางไปถึงในปี 2569
จนล่าสุด ปี 2567 "บิ๊กโจ๊ก" ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ผิดวินัยร้ายแรง ม.157 และ ม.149 เส้นทางการเงินโยงเว็บพนันมินนี่ เรียกได้ว่า เส้นทางชีวิตของบิ๊กโจ๊ก จะก้าวไปสู่เก้าอี้ ผบ.ตร. ได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ชีวิตของ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้หวานเจี๊ยบ สมกับฉายาเป็นแน่