ชัดเจน ผลตรวจ 2 ตายาย โดน 'ลูกสาววางยา' รุนแรง หวัง 'ฮุบสมบัติ' 500 ล้าน
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แจ้งผลตรวจเส้นผมตา-ยาย หลังร้อง พจ "สายไหมต้องรอด" โดน "ลูกสาวคนเล็กวางยา" ฮุบสมบัติ 500 ล้าน เผย เส้นผมของยาย พบสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท
1 พ.ย. 2566 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมด้วย นายนอ (สงวนนามสกุล) อายุ 83 ปี และนางแว่น (สงวนนามสกุล) อายุ 69 ปี 2 ตา ยาย เดินทางมาศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เข้าพบ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรับฟังผลการตรวจเส้นผม ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังเข้าร้องทุกข์ ว่าถูกลูกสาวคนเล็กวางยา ด้วยการแอบเอายากล่อมประสาทให้กินเป็นเวลานาน 3 ปี จนเกือบเสืยสติ ก่อนฮุบสมบัติมูลค่ากว่า 500 ล้าน โดยผลการตรวจเบื้องต้นจากการตรวจเส้นผมของนางแว่น พบสารเคมีบางชนิดที่เป็นสารเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไป พบว่าเป็นยาที่อยู่ในช่วงที่พักอยู่กับลูกสาวคนเล็ก
ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ระบุว่า ทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลทำหน้าที่แจ้งผลการตรวจจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ให้ตา ยายรับทราบเท่านั้น ส่วนหลังจากนี้ในทางคดีเป็นเรื่องของตำรวจ โดยผลของเส้นผมคุณตานั้น ไม่พบสารหรือวัตถุออกฤทธิ์แต่อย่างใด ส่วนผลของเส้นผมคุณยายนั้น พบสารออกฤทธิ์ส่งผลต่อการกล่อมประสาท แต่ขอสงวนชื่อยา แต่เป็นยาที่วัยรุ่นชอบนำไปผสมเป็นยามึนเมา 4×100
ทั้งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ยาที่ตรวจเจอเป็นยาแก้ปวดชนิดรุนแรง มีความรุนแรงระหว่างพาราเซตามอลกับมอร์ฟีน โดยผลการตรวจเส้นผมทั้ง 2 ตา ยาย พบว่า ตัวอย่างที่ได้มาจากเส้นผมของคุณตา มีความยาวเพียง 5.2 เซนติเมตร จึงทำให้ย้อนกลับไปได้เพียงแค่ 5 เดือน คือประมาณ เดือน พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา จึงไม่พบตัวยาที่ผิดปกติ พบเพียงแต่ยาที่ทานตามปกติเพื่อรักษาอาการ 3-4 ตัว
ส่วนผมของคุณยาย มีความยาวถึง 13.7 ซม. สามารถตรวจย้อนไปถึงเดือน ส.ค. 2565 จึงมีการตรวจเปรียบเทียบกันในช่วงเดือน พ.ค. 2566 กับเดือน ส.ค. 2565 ที่อยู่กับลูกสาวคนเล็ก พบว่าทั้งสองช่วงเวลามียาที่นางแว่น ทานรักษาอาการปกติประมาณ 3-4 ตัว แต่ในช่วงเดือน ส.ค. 2565 ปรากฏว่ามีสารยาถึง 6-7 ตัว โดยตัวที่เพิ่มมา 2-3 ชนิด พบว่าเป็นยารักษาอาการแก้ปวดชนิดรุนแรง เชื่อว่าเป็นยาที่ทานในระหว่างอยู่กับลูกสาวคนเล็ก
โดยยาตัวดังกล่าว ในทางการแพทย์ ถือว่าเป็นยาที่ต้องควบคุม จะไม่มีการจ่าย เพื่อรักษาเป็นการทั่วไป ยิ่งอาการป่วยของ 2 ตา ยาย ไม่สามารถกินร่วมกับยาตัวอื่นได้ เพราะจะส่งผลต่อการระบบประสาทและทำลายสมอง หากได้รับยามากเกินไปอาจถึงแก่ชีวิตได้