ตร.ภ.2 ขยายผลจับ 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' หลอกทำงานแพ็คสบู่ สูญเงินนับล้านบาท
ตำรวจภูธรภาค 2 ขยายผลและติดตามจับกุมเครือข่าย "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หลอกทำงานแพ็คสบู่ หารายได้พิเศษ ผู้เสียหายสูญเงินกว่า 1.7 ล้านบาท
28 ธ.ค. 2566 ตำรวจภูธรภาค 2 ติดตามจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านนา จ.นครนายก ว่าถูกคนร้ายหลอกทำงานแพ็คสบู่เพื่อหารายได้พิเศษ มีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินให้กลุ่มคนร้าย สูญเงินกว่า 1.7 ล้านบาท
พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ของตำรวจภูธรภาค 2 ดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยเฉพาะ ต่อมาได้มีการออกคำสั่งตำรวจภูธรภาค 2 ที่ 376/2566 ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2566 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่งมี พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน
จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการ ในลักษณะเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ ได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีต่างๆหลายบัญชี จากนั้นได้โอนเงินไปยังบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไปเป็นทอดๆ จากการขยายผลพบยังอีกว่าได้มีผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันอีกจำนวนหลายคน กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
และจากการสืบสวนดังกล่าว ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ จากศาลจังหวัดนครนายก จำนวน 13 หมายจับ ในวันที่ 26 ธ.ค. 2566 ในฐานความผิด "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ"
ซึ่งเมื่อมีการอนุมัติหมายจับจากศาลแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ได้มีการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดในทันที โดยจากผลการปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 26 – 27 ธ.ค. 2566 ได้มีการจับผู้ต้องหาแล้ว จำนวน 7 ราย คือ
1.นายนภัสรพี (สงวนนามสกุล) จับกุมที่เขตประเวศ จ.กรุงเทพฯ เจ้าของบัญชีม้า
2.นายจันทกรานต์ (สงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เจ้าของบัญชีม้า
3.นายจักรชัย (สงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เจ้าของบัญชีม้า
4.นายชิณวัตร (สงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับบุคคลอื่นที่อยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา และได้ส่งข้อมูลบัญชีพร้อมสแกนใบหน้าไปทางช่องทางออนไลน์
5.น.ส.จิรภิญญา (สงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ผู้รับจ้างเปิดบัญชีออนไลน์ ให้กับชาวจีน และเคยทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งกัมพูชา จะได้เงินค่าสแกนใบหน้าโอนเงินเพิ่มในการโอนเงินแต่ละครั้ง
6.น.ส.กนกลักษณ์ (สงวนนามสกุล) จับกุมที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว รับว่าเคยทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา โดยอ้างว่าถูกหลอกและบังคับให้ทำงาน
7.น.ส.อุไรภรณ์ (สงวนนามสกุล) ถูกคุมขังจับกุมที่เรือนจำสมุทรปราการ ในความผิดเกี่ยวกับคดีออนไลน์ในคดีอื่น จึงได้อายัดตัวเพื่อดำเนินคดีนี้ด้วย
และในส่วนของผู้ต้องหาคนอื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 ยังคงเร่งดำเนินการติดตามจับกุมเพื่อมาดำเนินตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
จากการสืบสวนขยายผลจากการจับกุมใน 2 วันที่ผ่านมา ยังทำให้ทราบอีกว่า มีผู้ต้องหาบางรายเคยทำหน้าที่เป็นแอดมินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้อยู่ที่ฝั่งกัมพูชา โดยจะดูแลเรื่องของการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนในโอนเงินเกิน 50,000 บาท โดยเฉพาะ ซึ่งจะได้ค่าจ้างกับเจ้าของบัญชีม้าในเครือข่ายในการโอนครั้งละ 500 บาท ซึ่งเป็นพฤติการณ์การกระทำความผิดรูปแบบใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบภาค 2 จะดำเนินการสืบสวนไปยังคนร้ายอื่นๆในเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ต่อไป
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ น.ส.กนกลักษณ์ 1 ในผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า ได้พบโฆษณาชวนให้ทำงานเว็บพนันออนไลน์ในฝั่งกัมพูชา จึงได้เดินทางเข้าไปสมัครงาน ที่ตึก 25 ชั้น พร้อมนำหลักฐานประจำตัวเข้าไปสัมภาษณ์งาน และได้สัมภาษณ์งานผ่าน
จากนั้นได้ถูกนำตัวเข้าไปที่ออฟฟิศ HK99 (ตึกเขียว) หรือบ่อตกปลา เพื่อเข้าทำงาน จากนั้น ได้มีล่ามแปลภาษาจีนเข้ามา พูดคุยและซักถามว่า รู้หรือไม่ว่ามาทำงาน เกี่ยวกับอะไร ผู้ต้องหาตอบกลับว่ามาทำเว็บออนไลน์ ถ้าไม่ทำเกี่ยวกับเว็บออนไลน์จะไม่ยอมทำ จึงถูกตรวจยึดโทรศัพท์และเอกสารประจำตัวไว้
ต่อมาได้ถูกนำตัวไปควบคุมตัวไว้เพื่อรอคอยการสแกนใบหน้า พร้อมกับข่มขู่และทำร้ายร่างกายให้ทำงาน โดยอ้างว่า ได้จ่ายค่าหัว ให้กับผู้ต้องหาแล้ว ในราคา 76,000 บาท หากหาเงินมาคืนได้จะปล่อยตัวกลับ โดยทำหน้าที่คอยสแกนใบหน้านานประมาณ 1 เดือน
เมื่อไม่สามารถติดต่อญาติให้นำเงินมาจ่ายค่าหัวได้จึงได้ตัดสินใจตกลงทำงานให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยทำหน้าที่เป็นแอดมิน และเชือด สลับกันไปกับวิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย คือ 1.เทรดหุ้น
2.เงินกู้ 3.หลอกให้เชื่อใจแล้ว หลอกให้ โอนเงิน ไม่เฉพาะการแสดงตัวเป็นคนรัก
หลังจากทำงานได้ประมาณ 3 เดือนจนกระทั่งเดือนสุดท้าย ได้รับเงินเดือน 25,000 บาท จึงได้หาช่องทางให้คนพาข้ามทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อหลบหนีเข้ามาในไทย
โดยระหว่างที่ทำงานประมาณ 3 เดือนได้พบกลุ่มแก๊งที่คอยควบคุมดูแลสั่งการทุกวันและสามารถจดจำใบหน้าและชื่อเล่นได้บางราย