โชเฟอร์แท็กซี่ แจ้งความแล้วหลังโดน 'เก๋งหัวร้อน' พุ่งชนไม่ยั้งก่อนซิ่งหนี
ระทึกกลางถนนรัชดา "เก๋งหัวร้อน" พุ่งชน แท็กซี่ ไม่ยั้งก่อนซิ่งหนี ท่ามกลางสายตาประชาชน โชเฟอร์แท็กซี่แจ้งความตำรวจติดตามตัวคนขับเก๋งหัวร้อน เผยตนรู้สึกแย่มาก ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาที่ตนขับรถแท็กซี่ ตนเคยถูกมอเตอร์ไซต์ชนแค่ครั้งเดียว เจอครั้งนี้หนักที่สุด
15 ม.ค. 2567 จากกรณีมีผู้ใช้แอปพลิเคชัน TikTok รายหนึ่งนำคลิปเหตุการณ์ระทึกกลางกรุง รถยนต์เก๋งสีขาวคันหนึ่งขับพุ่งชนรถแท็กซี่ สีเขียวเหลืองคันหนึ่ง โดยเหตุเกิดบริเเวณถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าสตรีทรัชดา ท่ามกลางสายตาประชาชน ก่อนที่รถเก๋งคนดังกล่าวขับรถหนีไป
ล่าสุดผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ พร้อมติดตามความคืบหน้าในสวนของคดี ที่ สน.ห้วยขวาง เบื้องต้นจากการสอบถาม นายยุทธพงศ์ แซ่ฟุ้ง โชเฟอร์แท็กซี่ เปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่กำลังขับรถแท็กซี่ อยู่ช่องทางขวาสุดบนถนนรัชดาภิเษก บริเวณด้านหน้าโลตัส พระราม 9 ขณะที่ กำลังจะเบี่ยงซ้ายเพื่อเข้ามารับผู้โดยสาร
แต่ปรากฏว่า มีรถเก๋งสีขาวขับมาด้วยความเร็วสูงตามท้ายรถของตน แล้วเสียบพุ่งชนรถของตน ครูดตามแนวยาวบริเวณฝั่งคนขับแล้วขับหลบหนีไป พร้อมกับไปเฉี่ยวชนรถแท็กซี่อีก 1 คันในบริเวณนั้น ตนจึงรีบขับรถแท็กซี่ตามไป จนไปทันที่บริเวณสามแยกเทียมร่วมมิตรซึ่งอยู่ไม่ไกล
จากนั้นตนจึงรีบปาดหน้ามาจอดขวางบริเวณเลนขวาสุดเพื่อสกัดไม่ให้รถเก๋งคันดังกล่าวหลบหนีบริเวณหน้า the street รัชดา แต่ว่ารถเก๋งคันดังกล่าว ได้ถอยรถแล้วขับพุ่งชนรถของตนบริเวณที่นั่งผู้โดยสารฝั่งซ้ายและท้ายรถอีก 5 ครั้ง ซึ่งจากในคลิปจะเห็นว่า รถเก๋งขับชนตน 2 ครั้ง แต่จริงๆ แล้วมีก่อนหน้านั้นอีก 3 ครั้ง แล้วคนขับรถเก๋งก็ขับหลบหนีออกไปทันที รวมแล้วรถเก๋งขับชนรถแท็กซี่ตนถึง 6 ครั้งด้วยกัน
หลังเกิดเหตุ ตนได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ซึ่งพนักงานสอบสวนแจ้งความคืบหน้าเบื้องต้นว่า ขณะนี้ทราบตัวคนขับรถเก๋งคนดังกล่าวแล้วและจะออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ ซึ่งตนก็จะเดินทางมาพบในช่วงหลังบ่ายสองวันนี้เช่นกัน
นายยุทธพงศ์ ระบุอีกว่า ตนรู้สึกแย่มาก ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาที่ตนขับรถแท็กซี่ ตนเคยถูกมอเตอร์ไซต์ชนแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้ถือว่าหนักและแย่ที่สุด อีกทั้งมองว่า คนขับรถเก๋งมีเจตนาตั้งใจจะหลบหนีและเชื่อว่าเมาแล้วขับแน่นอน ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะเขาควรจะต้องลงมาดูเหตุการณ์มากกว่า