แม่ลั่นแค่เสพยา ปัดบังคับลูกค้าบริการ ตั้งข้อสังเกตเพราะลูกป่วยจิตเวช?
รุดช่วย สาว 22 ปี ถูกแม่แท้ๆ บังคับขายบริการ หาเงินซื้อยาบ้าเสพ ด้านแม่รับเสพยาจริง ปัดบังคับลูกขายบริการ ตั้งข้อสังเกตเพราะลูกป่วยจิตเวช?
5 มิ.ย. 2567 จากกรณี นายวรุต ขำเขนก ผอ.มูลนิธิเพื่อให้โอกาส อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พา น.ส.เอ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นเด็กที่เคยดูแลมาก่อน เดินทางมาแจ้งความที่ สภ.เมือง บุรีรัมย์ หลังจาก น.ส.เอ ซึ่งมีพื้นเพอยู่ในเขต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เดินทางไปขอความช่วยเหลือ จากมูลนิธิฯ สถานที่ที่เคยอยู่มา 7 ปี ว่าถูกแม่แท้ๆ บังคับให้ขายบริการให้กับผู้ชาย เพื่อเอาเงินไปซื้อยาบ้ามาเสพ
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ได้ไปพบ น.ส.กัลยา สงวนนามสกุล อายุ 44 ปี ที่อยู่ ต.หูทำนบ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ แม่เด็ก อายุ 22 ปี ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใน ต.กระสัง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
โดย แม่เด็กหญิง เล่าว่า จริงๆ แล้วตนกำลังตามหาลูกสาวมากกว่า เพราะหายออกจากบ้านไปเมื่อ 2 วันก่อน ไม่คิดว่าลูกจะไปที่มูลนิธิฯ ที่เคยอยู่ สาเหตุที่ลูกสาวไปที่มูลนิธิฯ คาดว่าน่าจะเกิดอาการทางจิตเวช เพราะเคยไปรักษาและรับยามากินเป็นประจำ
จากคำบอกเล่าของลูก ที่กล่าวหาว่าตนพาไปขายบริการนั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น คาดว่าลูกน่าจะเอาเหตุการณ์ที่ประสบมา คือมักจะถูกผู้ดูแลบ้านพักชวนไปหลายครั้งตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนเรื่องการเสพยานั้นตนยอมรับว่าเสพจริง น.ส.กัลยา เล่าว่า สาเหตุที่ลูกต้องไปหาคนเฝ้าหอพัก เพราะไปขอเข้าห้องน้ำ ที่ห้องคนดูแลหอพัก เนื่องจากตนกับลูกสาวขออาศัยอยู่หน้าห้องพัก เพื่อรอเงินจากสามี เอามาจ่ายค่าเช่าก่อนเข้าไปอยู่ จำนวนเงิน 6,000 บาท คือเช่าเดือนละ 3,000 บาท จ่ายล่วงหน้า 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาท
ทำให้ไม่มีที่เข้าห้องน้ำ ลูกสาวจึงไปขอเข้า และคาดว่าน่าจะถูกผู้ดูแลหอ กระทำอนาจารระหว่างไปเข้าห้องน้ำ เพราะเคยให้เงินกับลูกมา 400 บาท ซึ่งตนเคยห้ามแล้ว ขณะที่นางสาวรตะวรรณ สงวนนามสกุล อายุ 38 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามห้องเช่า เล่าว่าเห็นครอบครัวนี้มาอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน แต่เข้าไปในห้องไม่ได้ เพราะยังไม่ได้จ่ายค่าเช่า อาศัยหลับนอนอยู่หน้าห้องเช่าเพื่อรอเงินจากสามี เอามาจ่ายค่าเช่าและค่ามัดจำห้องจำนวนเงิน 6,000 บาท ที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นแม่เด็กทำร้ายเด็กแต่อย่างใด ไม่เคยแม้จะดุด่า มีแต่จะออกตามหาเวลาลูกหายไป
ล่าสุด พม จ.บุรีรัมย์ พร้อมทนายอั๋น รุดช่วยหญิง 22 ถูกแม่บังคับขายบริการ นับสิบครั้ง ตร.เร่งรวมรวมหลักฐานเอาผิดตาม กม. พมจ.บุรีรัมย์ พร้อมทนายอั๋น รุดช่วยหญิงวัย 22 หนีจากบ้านเช่าขอความช่วยเหลือมูลนิธิฯ อ้างถูกแม่แท้ๆ บังคับขายบริการเอาเงินไปซื้อยาบ้าเสพ
คืบหน้ากรณีที่ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 23 ปี ได้หนีออกจากบ้านเช่าหลังหนึ่งในตัวเมืองบุรีรัมย์ ไปขอความช่วยเหลือกับนายวรุต ขำเอนก ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อให้โอกาส ที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ โดยเธออ้างว่าทนไม่ไหวที่ถูกแม่แท้ๆ บังคับให้ไปหลับนอนกับชายสูงอายุ ซึ่งเป็นเจ้าของห้องเช่าแลกกับเงินครั้งละ 200 – 1,000 บาท
เพื่อที่แม่จะเอาเงินดังกล่าวไปจ่ายค่าเช่าห้อง และซื้อยาบ้าเสพ หากเธอไม่ยอมทำตามที่แม่บังคับ ก็จะถูกแม่ทำร้ายร่างกายด้วยการใช้ท่อ พีวีซี.ทุบตีตามแขน ขา แผ่นหลัง ทั้งใช้ธูปที่จุดไฟจี้ตามร่างกาย บางครั้งก็จับศีรษะโขกกับพื้นเลือดออก จนต้องจำใจยอมทำตามที่แม่บังคับมาตลอดรวมประมาณ 10 ครั้ง
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหากเธอดิ้นขัดขืนไม่อยากร่วมหลับนอนกับชายที่ซื้อบริการ ก็จะใช้โซ่ล่ามเอาไว้ บางครั้งก็ใช้โซ่เฆี่ยนตี และใช้มือบีบคอ ล่าสุดถูกกระทำเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา จนเธอรับไม่ไหวทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ จึงตัดสินใจหนีออกไปขอความช่วยเหลือ
นางสิรินุช นพตลุง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดบุรีรัมย์ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋นบุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่หาแนวทางช่วยเหลือ น.ส.เอ หญิงวัย 22 ที่อ้างว่าถูกแม่บังคับขายบริการและถูกทำร้ายร่างกาย
โดยเบื้องต้นต้องรอผลตรวจยืนยันจากแพทย์ก่อน ขณะที่มูลนิธิเพื่อให้โอกาสได้รับตัว น.ส.เอ ไปดูแลชั่วคราวที่มูลนิธิฯ เพื่อความปลอดภัย และจนกว่าจะมีความชัดเจนว่า จะดำเนินการช่วยเหลือในแนวทางไหนบ้าง และจะให้ไปพักพิงหรือใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนอย่างไร ที่จะไม่เสี่ยงถูกกระทำซ้ำอีก เพราะตอนที่น้องอายุ 12 ปี ก็เคยถูกพ่อแท้ๆ กระทำชำเรามาแล้ว
พ.ต.อ.จำรัส ศิริเลี้ยง ผู้กำกับการ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ระบุว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนก็ได้รับแจ้งความไว้แล้ว จากนั้นก็จะเรียกผู้เป็นแม่ที่ถูกกล่าวหา รวมถึงผู้ที่ซื้อบริการมาสอบปากคำให้ได้ข้อเท็จจริง พร้อมทั้งรอผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศจริงหรือไม่ ซึ่งหากมีหลักฐานยืนยันได้ว่า ทั้งแม่และผู้ซื้อบริการที่ถูกกล่าวหามีการกระทำผิดจริง ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
นางสิรินุช นพตลุง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวหากผลตรวจทางร่างกายพบว่าน้องถูกบังคับขายบริการจริง ในทางคดีก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะดำเนินการไปตามกระบวนการ ทั้งนี้แพทย์ก็จะตรวจประเมินสภาพจิตด้วย เนื่องจากน้องเคยมีประวัติด้านพัฒนาช้า ซึ่งหากผลตรวจจากแพทย์แล้วพบว่าน้องมีความพิการ หรือพัฒนาการช้าหรือไม่ หากมีความพิการก็จะช่วยเหลือทำบัตรผู้พิการ และให้ความช่วยเหลือตามสิทธิ์ผู้พิการ
แต่หากแพทย์ระบุว่าไม่ได้เป็นผู้พิการ ก็จะให้ความช่วยเหลือตามแนวทางคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสภาพจิตใจ และการใช้ชีวิตหลังจากนี้ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ที่จะถูกกระทำซ้ำในลักษณะดังกล่าวอีก
ด้านทนายอั๋น กล่าวว่า ส่วนตัวก็พร้อมติดตามช่วยเหลือเรื่องคดีความเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม เพราะหากน้องถูกแม่แท้ๆ บังคับให้ไปขายบริการเพื่อเอาเงินไปซื้อยาบ้าเสพติดจริง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก แล้วเมื่อทราบประวัติน้องว่าเคยถูกพ่อกระทำชำเราตอนอายุ 12 ปี ถือว่าน้องเผชิญเรื่องราวที่ย่ำแย่มาก น้องควรจะได้รับการช่วยเหลือเพื่อไม่ให้ต้องกลับไปเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ซึ่งก็ดีใจที่มีหลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือน้อง