"แม่" ร่ำไห้สงสารลูกถูกฆาตกรรมโหด หวั่นคนร้ายอ้างป่วยจิต เพื่อหนีความผิด
"แม่" ยังทำใจไม่ได้ สงสาร "น้องหมิง" เผยลูกเป็นเด็กดี กตัญญู เชื่อคนร้ายอ้างป่วยจิต หนีความผิด ด้าน "พี่สาว" แฉ น้องเคยถูกทำร้ายมัดมือมัดเท้า คัตเตอร์จี้คอ ขณะที่ "ทนายไพศาล" เข้าช่วยเหลือคดี ประกาศไม่มีรับใต้โต๊ะแน่นอน
เปิดใจ น.ส.เอ แม่ และ น.ส.บี พี่สาว ของนางสาววรัญญา หรือ "หมิง" อายุ 18 ปี ที่ถูกนายธนากรณ์ หรือ "แซน" อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มฆาตกรรมปาดคอ ตัดมือ ก่อนจะนำร่างไปทิ้งใต้ทางด่วนในพื้นที่ปทุมธานี
โดยผู้เป็นแม่ เล่าว่า ปกติแล้วลูกสาวจะคุยกับแม่ตลอด แต่ลูกสาวจะไม่บอกแม่เรื่องที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ซึ่งลูกสาวเป็นเด็กน่ารัก ทำงานส่งตัวเองเรียนมาตลอด เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมาลูกสาวทักมาบอกว่าอยากกลับบ้านและไม่ได้บอกเหตุผล และไม่ได้เล่าว่าถูกแฟนหนุ่มมัดมือมัดเท้า และหลังจากนั้นลูกสาวก็เงียบไป รวมถึงคดีเมื่อปี 65 ของผู้ก่อเหตุ ลูกสาวก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง จึงทำให้แม่ไม่รู้ถึงพฤติกรรมความรุนแรงของผู้ก่อเหตุ
ตั้งแต่ลูกสาวคนกับนายแซน เคยเจอเพียง 2 ครั้ง ขณะนั้นดูเป็นคนน่ารัก พูดจาดี พูดเพราะ เหมือนเด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี เอาอกเอาใจลูกสาวเราดี ก็มองว่าน่ารักดี รวมถึงนายแซนยังเคยบอกว่า รักลูกสาว จะรีบเรียนให้จบแล้วจะมาขอลูกสาว ซึ่งเท่าที่ทราบ ทางบ้านผู้ก่อเหตุมีฐานนะ แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังยังเดินขายนมกับลูกสาว เพื่อหารายได้ จึงไม่คิดว่าจะมีพฤติกรรมก่อเหตุรุนแรงแบบนี้
แม่ของผู้เสียชีวิต ยังไม่มีอะไรฝากถึง แซน ผู้ก่อเหตุด้วย ขอเจอหน้าก่อน ส่วนถามว่าเสียใจไหม "เสียใจมาก" ลูกสาวเป็นคนน่ารักมาก ไม่น่าต้องไปนอนกองขยะแบบนั้น ลูกมีแต่ด้านดีๆให้เห็น มีความรับผิดชอบ กตัญญู ยากที่จะทำใจยอมรับได้ ลูกสาวตัวนิดเดียว จะไปสู้ผู้ชายได้อย่างไร
น.ส.เอ เล่าต่อว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาครอบครัวของผู้ก่อเหตุได้โทรมาหาเธอ เพื่อขอโทษและอยากให้ไปเชิญดวงวิณญาณบ้านหลังที่เกิดเหตุพร้อมจะค่าเดินทางให้ และคล้ายกับว่าไม่อยากให้มาออกรายการ เท่าที่คุย ลักษณะพูดขอโทษนั้น พูดแบบเสียไม่ได้มากกว่า ซึ่งถ้าอีกฝ่ายจะปัดความรับผิดชอบ ก็จะดูไม่ดี
ส่วนเรื่องที่ทางครอบครัวผู้ก่อเหตุอ้างว่าป่วยนั้น น.ส.เอ มองว่า คล้ายเบี่ยงเบน เพื่อให้ตัวเองไม่ผิดหรือผิดน้อยลง เพราะมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน จึงทำให้ครอบครัวกังวลใจ แต่เท่าที่คุยกับทนายในวันนี้ ทำให้ไม่กังวลใจแล้ว และหลังจากนี้จะไปดำเนินการ ที่สภ. ปากคลองรังสิต เพื่อจัดการเรื่องลูกสาวหลังพบชิ้นส่วนที่เป็นข้อมือทั้ง 2 ข้าง และจะดำเนินการเชิญดวงวิญญาณ ก่อนนำร่างของลูกสาวไปดำเนินพิธีทางศาสนาต่อไป ส่วนตัวสบายใจขึ้น เพราะเจอร่างครบหมดแล้ว
ขณะที่ น.ส.บี พี่สาว เล่าเหตุการณ์ที่น้องสาวระบายปัญหาความรักให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค. น้องสาวทักมาบอกว่าอยากกลับบ้าน ตนจึงโทรไปหา ทำให้รู้ว่าน้องสาวทะเลาะกับแฟนถึงเรื่องหึงหวง น้องสาวได้ขอเลิกรา แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมก่อนจะมีการขู่ว่า หากจากกันคงต้องจากตาย ก่อนจะมัดมือมัดเท้าและเอามีดคัตเตอร์จี้ที่คอน้องสาว ตัวเองรู้อย่างนั้นเลยบอกให้น้องสาวกลับบ้าน ยอมรับเป็นครั้งแรกที่รับรู้ว่าฝ่ายชายมีพฤติดกรรมแบบนี้ หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุก็เปลี่ยนไป ติดต่อไม่ได้ เพราะทุกครั้งเวลา 2 คนนี้มีปัญหา ตนจะเป็นคนมาเคลียร์ให้
ส่วนวันก่อนจะพบร่างน้องสาว ช่วงกลางคืนยัง พูดคุยกันและยังคุยเรื่องหลาน ไม่มีรางอะไรที่จะบอกได้เลยว่าจะเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้น
น.ส.บี กล่าวต่อว่า ส่วนตัวรับรู้ว่าผู้ก่อเหตุมีอาการป่วย จากคดีเมื่อปี 65 แต่เธอก็ไม่คิดว่าป่วยจริง เพราะเหมือนว่าผู้ก่อเหตุเอาอาการป่วยทางจิตมาเป็นข้ออ้างในคดี และที่ทางครอบครัวของผู้ก่อเหตุอ้างว่า ผู้ก่อเหตุทานยามาตลอด นั้นก็ไม่จริง เพราะจากการคุยกับน้องสาว น้องสาวบอกว่า ต้องบังคับให้ผู้ก่อเหตุทานยาตลอด เพราะไม่ยอมกิน
นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า ระหว่างที่น้องสาวคบหากับฝ่ายชาย ฝ่ายชายได้ทำการยืมเงินของน้องสาวจำนวน 17,000 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บของน้อง เพื่อนำไปสู้คดีเก่า ซึ่งเคยถามน้องสาวว่าได้ทวงคืนบางหรือไม่ แต่น้องบอกว่า ทวงแต่คงไม่มีสิทธิ์ได้คืนแล้วจากการดูพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ
ด้านทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ เปิดเผยว่า ตอนนี้ได้รับแต่งตั้งจากแม่และพี่สาวของผู้เสียชีวิตให้เป็นทนายความ ในส่วนของรูปคดีนี้ การจะนำเรื่องอาการป่วยทางจิตมาหักล้างกับรูปความคดีไม่ได้แน่นอน เพราะคนที่จะป่วยทางจิตเวชนั้นต้องถึงขั้นเล่นขี้ แต่พฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ มีการวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี มีการอำพรางศพ ตัดข้อมือ โดยเฉพาะนิ้วมือที่สามารถบ่งบอกอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลได้ พร้อมฝากไปยังครอบครัวผู้ก่อเหตุ หากจะเจรจาหรือติดต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ขอให้ติดต่อผ่านตน ค่าเสียหายทั้งหมด ต้องเป็นไปตามกระบวนการข้อกฎหมายทุกอย่าง และจะไม่มีการรับใต้โต๊ะเพื่อดำเนินการช่วยเหลือ และฝากบอกถึงคนกลางที่จะช่วยเรื่องนี้ ว่าทนายไพศาลจะเดินหน้าตามกระบวนการยุติธรรมจะคุยเรื่องกฎหมายเท่านั้น