"ลูกศิษย์" แถลงข่าวโต้ ผัว-เมีย ร้องถูกบังคับเข้า "ลัทธิถวายตัว"
"ลูกศิษย์อดีตพระโอ" ยืนยันไม่เคยเห็น "ลัทธิถวายตัว" พร้อมแฉไทม์ไลน์คู่กรณียักยอกทรัพย์ เจรจรกันไม่ลง จนเกิดเรื่อง ด้าน "ทนายความ" เตรียมพาอดีตพระโอ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาพิสูจน์ความจริง
นายกิตภัท พุทโธรักษาชาติ ลูกศิษย์ 1 ในลูกศิษย์อดีตพระโอ หรือ เจ้าสำนัก "ลัทธิถวายตัว" ลัทธิถวายตัว" พร้อมด้วย นายเนติ บุญพุทธารักษา ทนายความ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่สามีภรรยาร้องเพจสายไหมต้องรอด ถูกอดีตพระโอบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ และยังให้มีเซ็กส์หมู่กับลูกศิษย์คนอื่นด้วย อ้างว่าเป็นการต่อดวงชะตาชีวิตให้พระรูป
นายกิตภัท เล่าถึงไทม์ไลน์สามีภรรยาคู่นี้ที่เข้ามาอยู่ในที่พักสงฆ์ และมาดูแลด้านการจำหน่ายวัตถุมงคล มาทำธุรกิจมีผลประโยชน์ร่วมกับทางที่พักสงฆ์ นำไปสู่การถูกฟ้องร้องคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งมีการฟ้องร้องทั้งทางอาญาและทางแพ่ง 2 คดี มูลค่าเสียหายกว่า 13 ล้านบาท
โดยปี 2553 แรกเริ่มหญิงผู้ร้องเป็นแฟนกับ นาย ป.ซึ่งเป็นพนักงานในวัดที่ดูแลร้านจำหน่ายวัตถุมงคล หญิงผู้ร้องเลยเข้ามาช่วย นาย ป.จนมีความสนิทสนม ความไว้วางใจ เหมือนเป็นลูกบุญธรรมของอดีตพระโอ
ต่อมาปี 2554 หญิงคนนี้ก็เลิกลากับนาย ป. แล้วเข้ามาดูแล กิจการจำหน่ายวัตถุมงคลของที่พักสงฆ์ แทนนาย ป. กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญของสำนักสงฆ์ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ
ในปีเดียวกันสามีของหญิงผู้ร้องก็เข้ามาในที่พักสงฆ์ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาเรียนมหาวิทยาลัย แล้วต่อมาก็ได้พาเพื่อนชายอีกคนให้เข้ามาในที่พักสงฆ์ด้วย
ปี 2555 หญิงผู้ร้อง สามี และเพื่อนของสามีก็สนิทสนมกันมากร่วมกันดูแลเรื่องการบริหารจัดการธุรกิจจำหน่ายวัตถุมงคลของที่พักสงฆ์ รวมไปถึงการดูแลแม่ของทั้งสามคน
ซึ่งหญิงผู้ร้องได้รับความไว้วางใจจากทางอดีตพระสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของอดีตพระได้ เป็นตัวแทนในการประสานงานติดต่อทุกอย่าง มีการโอนเงินซื้อขายวัตถุมงคลเข้าบัญชีของหญิงผู้ร้อง
จากนั้นหญิงผู้ร้อง สามี และเพื่อนสามี ก็เริ่มมีปัญหากับลูกศิษย์และคนที่อยู่ในที่พักสงฆ์ ซึ่งได้มีการเบิกเอาวัตถุมงคลออกไปจำหน่ายแล้วไม่นำเงินให้กับที่พักสงฆ์ อีกทั้งยังได้นำของบรรพบุรุษ และครูบาอาจารย์ ของอดีตพระไปแล้วไม่นำมาคืน
ปี 2565 หญิงผู้ร้องออกไปจากที่พักสงฆ์ แต่ยังเบิกวัตถุมงคล ไปแต่ไม่ได้นำมาคืน
ปี 2566 ทางที่พักสงฆ์ฟ้องร้องละเมิดลิขสิทธิ์ วัตถุมงคล 10 กว่ารายการ
ปี 2567 อดีตพระตัดสินใจฟ้องหญิงผู้ร้องข้อหายักยอกทรัพย์ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง 2 คดี รวมเป็นเงินกว่า 13 ล้านบาท แบ่งเป็นคดียักยอก 4,900,000 บาทและฟ้องผิดสัญญาซื้อขายและเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 9 ล้านบาท
10 มิถุนายน 2567 ศาลคดีแพ่งนัดพร้อม และนัดไกล่เกลี่ย แต่ตกลงกันไม่ได้
วันที่ 11 มิถุนายน 2567 หญิงผู้ร้องไปร้องเพจสายไหมต้องรอด และวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ศาลนัดสืบพยานคดียักยอกทรัพย์
นายกิตภัท เปิดเผยว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามข่าว อดีตพระจึงลาสิกขาเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่คณะสงฆ์ และทำให้ศาสนามัวหมอง และเพื่อต่อสู้ทางกฎหมาย
ส่วนที่อีกฝ่ายอ้างว่าหลอกลวงตามที่ปรากฎในข่าวนั้น เป็นข้อมูลที่จะไปปรากฏในชั้นศาล และจากนี้ไปหากมีการพูดให้เกิดความเสื่อมเสียจะพิจารณาดำเนินคดีตามข้อเท็จจริงต่อไป
นายกิตภัท ยืนยันว่า อดีตพระป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ปี 2540 ระหว่างที่อยู่ในที่พักสงฆ์แห่งนี้ และเป็นลูกศิษย์อดีตพระโอมา 20 ปี ไม่เคยมีการสอนในลักษณะอุตริธรรม และตนเองก็ไม่ทราบไม่เคยเห็นว่ามีพิธีถวายตัวตามที่ผู้เสียหายกล่าวอ้าง และเชื่อว่าหลังจากนี้ถึงเวลาที่เหมาะสมอดีตพระโอจะออกมาพูดเอง และทุกคนก็จะได้รู้เองว่าความจริงคืออะไร
นายกิตภัทฝากบอกคู่กรณีว่าในฐานะที่ตนเองรักและนับถือเหมือนพี่สาว จนถึงขณะนี้ก็ยังให้ความเคารพนับถือเหมือนเดิม แต่จะทำอะไรขอให้คิดให้ดีก่อนนึกถึงวันเวลาที่เคยลำบากมาด้วยกัน กว่าที่จะมีวันนี้ได้
ด้านทนายความ ระบุว่า ส่วนในคดีที่ทางฝั่งหญิงสาวมีการแจ้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ในข้อหาข่มขืน หลังจากนี้ตนเองก็จะพาลูกความเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาเพื่อพิสูจน์ความจริงและต่อสู้คดี ซึ่งได้ตั้งข้อสงสัยเกิดจากการเจรจาคดีอาญาและแพ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่ลงตัว อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ไปร้องเพจสายไหมต้องรอด อาจเกี่ยวกับเรื่องวัตถุมลคงที่มีมูลค่ามาก