ข่าว

เตรียม "พยานโจทก์" 89 ปาก สืบคดี “แอม ไซยาไนด์”

ศาลสืบพยาน คดี “เเอม ไซยาไนด์” นัดแรก ทนายเดชาเผยเตรียมพยาน 89 ปาก เข้าเบิกความ ฝั่งทนายพัช อ้างเชิญ บิ๊กโจ๊ก หนุ่ม กรรชัย เป็นพยาน

ทนายเดชา

4 ก.ค. 2567 ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัด สืบพยาน โจทก์ ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม โดย พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ สามีของ แอม และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ใน คดี วางยาพิษ ที่มีสาร ไซยาไนด์ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย เสียชีวิต

 

ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น , ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย , ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย , เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด , เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด

โดยวันนี้นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ทนายความฝ่ายผู้เสียหาย เดินทางมาที่ศาลพร้อมกับแม่ของ ก้อย และ นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อ คดี แอม ไซยาไนด์ 

 

ทนายเดชา เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการ สืบพยาน โจทก์ นัดแรก มีแม่ของคุณก้อย เป็นพยานปากแรก ของฝั่งตน โดยรวม ฝั่งโจทก์เบิก พยาน บุคคลจำนวน 89 ปาก มีทั้งนักวิชาการ ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน รวมทั้งวัตถุ พยานต่าง ๆ ซึ่งศาลนัดสืบพยานฝั่งโจทก์จำนวน 20 นัด

 

ส่วนตัวมั่นใจการทำงานของตำรวจ ที่นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ดูแลคดีในขณะนั้นและพนักงานอัยการ รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ ในสำนวนที่มีหลายแฟ้ม เชื่อมั่นว่าจำเลยไม่น่ารอด  เพราะว่าพยานหลักฐานค่อนข้างมัดแน่น

 

เริ่มตั้งแต่ประเด็นการสั่งซื้อสาร ไซยาไนด์ และนำสารไซยาไนด์ไปใช้ รวมทั้งพบสารไซยาไนด์ในรถของ แอม และศพ ก้อย รวมถึงขวดสาร ไซยาไนด์ พยานแวดล้อมต่าง ๆ ที่ยืนยันสอดคล้องตรงกันและคลิปวงจรปิดที่แน่นหนาพอสมควรในการเอาผิดจำเลย

 

ส่วนที่ทนายพัชได้ยื่นเรื่องตาม พรบ.อุ้มหายฯ ต่อพนักงานอัยการ จะมีผลต่อคดีหรือไม่ ทนายเดชาระบุว่า พรบ.อุ้มหาย กับคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เท่าที่ตนจำได้ตอนที่ยังไม่ส่งฟ้อง ทนายพัชเคยยื่นคำร้องดังกล่าวแก่ศาลแล้ว แต่ศาลยกคำร้อง และให้ไปว่ากล่าวกันต่างหาก

 

ดังนั้น ประเด็นตาม พรบ.อุ้มหายฯ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้  ซึ่งคดีนี้มีประเด็นเดียวคือ แอม วางยาพิษ ก้อย และชิงทรัพย์หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่เป็นตำรวจและสามีของ แอม นั้น จะมีส่วนในการทำลายพยานหลักฐานเพื่อช่วยแอมหรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 คือทนายพัช มีประเด็นว่า ได้เป็นคนใช้ให้จำเลยที่ 2 หรือสามีของแอม ทำลายหลักฐานหรือไม่ เนื่องจากมีแชทการสนทนาที่ระบุว่า ถ้าไม่มีพยานหลักฐานคดีหลุดศาลยกฟ้องได้

 

สำหรับประเด็นที่ทนายพัชต่อสู้ว่า ตำรวจจับกุมแอม โดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่น่าจะมีผลต่อรูปคดี เนื่องจากในนัดตรวจพยานก่อนหน้านี้แอม ยอมรับสารภาพว่า ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมโดยชอบและมีหนึ่งในจำนวนพยานบุคคลที่ยอมรับในประเด็นนี้

 

ด้านแม่ น.ส.ก้อย ระบุว่า รู้สึกอุ่นใจที่มีทีมทนายความ เข้ามาให้การช่วยเหลือทางคดี ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในความยุติธรรม เพราะมีทั้งทีมทนายความและคุณรพีมาให้การช่วยเหลือ รวมทั้งมีคนให้กำลังใจจำนวนมาก จึงมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรม ส่วนที่ทนายพัชเคยพูดไว้ว่ามั่นใจว่า แอม จะหลุดจากคดีนี้ คุณแม่บอกว่า ตนไม่กังวล ยังมีความมั่นใจในเรื่องทางคดี

 

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามคุณแม่ว่า อยากจะพูดอะไรถึงก้อยไหม คุณแม่ เปิดเผยว่า มาถึงศาลตั้งแต่เช้า ขอให้ก้อยดลบันดาลช่วยให้คดีนี้สำเร็จและตนก็เชื่อว่า ก้อยยังไม่ไปไหน ยังอยู่เคียงข้างตนเสมอ

 

ส่วนได้มีการพูดคุยอะไรกับ แอม ไหมก่อนหน้านี้ แม่บอกว่า เคยคุยกับ แอม ตั้งแต่แรกว่าให้รับสารภาพ แต่ แอม ก็ไม่รับสารภาพและไม่คุยอะไรกับตนเลย อีกทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉยใส่ตน มองว่าตัว แอม เองยังไม่มีท่าทีที่จะสำนึกและยังคงพูดชมตัวแอมเองว่าอ้วนขึ้น

 

ด้าน นายรพี เปิดเผยว่า ขอบคุณสื่อมวลชนที่ยังไม่ลืมคดีนี้ ตั้งข้อสังเกตเป็นการทั่วไปว่า การที่ทนายความบอกให้ลูกความทำลายพยานหลักฐาน โดยอ้างว่า หากไม่มีของกลาง แล้วศาลจะยกฟ้องนั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดมรรยาททนายความและจริยธรรมของทนายความหรือไม่ ทั้งที่โดยหน้าที่ของทนายความทั่วไป ควรจะต้องช่วยกันสืบหาความจริง และช่วยต่อสู้ให้เขาได้รับโทษตามความสมควร

 

รวมทั้งอยากฝากถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องว่า "พายเรือให้โจรนั่ง ก็ได้รับกรรมเช่นเดียวกัน" โดยตนมั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เวรกรรมต้องถึงแน่ กฎหมายจะเอื้อมไปอย่างไร ตนไม่อาจทราบได้ ขอไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ซึ่งศาลจะพิจารณาอย่างไร พวกเราก็น้อมรับ

 

ต่อมา น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช ทนายความของ แอม ไซยาไนด์ เดินทางมายังศาลอาญา เพื่อร่วมสืบพยานนัดแรกคดีการเสียชีวิตของก้อย โดยทนายพัชมาพร้อมกับทีมทนายความมากถึง 7 คน 

 

ทนายพัช เปิดเผยว่า มีความพร้อมในคดีนี้มานานแล้ว ระยะเวลาที่ศาลนัดพิจารณาคดีนั้น อาจจะช้าไปนิดหนึ่ง เลยอาจจะไม่ทันใจหลายๆ คน ยืนยันว่า วันนี้ตนเตรียมพร้อมทางคดีอย่างเต็มที่ โดยดูได้จากทีมทนายความที่มาพร้อมกับตน ซึ่งฝั่งตนได้เบิกพยานบุคคลประมาณ 10 กว่าปาก ในจำนวนนี้ทนายพัชอ้างว่า ได้เชิญพยานบุคคลที่มีชื่อเสียงมาให้การในชั้นศาลด้วย เช่น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ นายกรรชัย กำเนิดพลอย คาดว่าน่าจะใช้เวลาสืบพยานถึงช่วงเดือน ก.ย.2567

 

ส่วนเรื่องผลทางคดีนั้น ขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน พวกตนและทีมทนายความ มีหน้าที่เพียงนำเสนอข้อเท็จจริงอีกมุมมองหนึ่งที่ทางโจทก์ไม่ได้นำเสนอให้ศาลให้เห็น จะมีประเด็นอะไรบ้าง ขอสงวนไว้เพื่อเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล แต่อาจจะเป็นเรื่องของกล้องวงจรปิดหรือเรื่องของความสัมพันธ์ต่าง ๆ

 

สำหรับประเด็นที่ถูกกล่าวหาว่า ทนายพัชมีส่วนร่วมในการให้ฝั่งจำเลยทำลายพยานหลักฐานนั้น ทนายพัชยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและบอกอีกว่า หน้าที่ของทนายความนั้นอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามกรอบของกฎหมาย แต่ตนมองว่า ก็มีอะไรบางอย่างอยู่ในกระบวนการที่ทำให้ แอม รับสารภาพเช่นเดียวกัน

 

ส่วนประเด็นเรื่องของ พรบ.อุ้มหาย ที่ทนายพัชเคยเอามาพูดนั้น ทนายพัชระบุว่า การจับกุมนั้นแม้จะเป็นการจับกุมโดยมิชอบ แต่ไม่ได้ทำให้กระบวนการสอบสวนเสียไป พนักงานอัยการยังคงมีอำนาจฟ้องคดีตามปกติ ก่อนหน้านี้ตนได้ดำเนินการตามเรื่องของ พรบ.อุ้มหาย ไปแล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ

 

ด้านนายภูดิท โทณผลิน ทนายความของทนายพัช เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทนายพัชได้ทำหน้าที่ทนายความตามหลักวิชาชีพ ในการให้คำแนะนำแก่จำเลยในการปฏิเสธ เพราะจริง ๆ แล้วจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่ารายละเอียดทางคดีนั้น ต้องสืบพยานไปสักพักก่อน แล้วภายใน 1-2 สัปดาห์ ก็จะรู้แนวทางการต่อสู้ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีที่นัด สืบพยาน ศาลได้เบิกตัวแอม จากทัณฑสถานหญิงกลาง มาร่วมฟังสืบพยาน โดยมี พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ สามีของแอมจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการประกันตัว เดินทางมาด้วย รวมทั้ง ทนายพัช จำเลยที่ 3

 

จากการสังเกตพบว่า แอมและสามีนั่งคู่กันบริเวณที่นั่งของจำเลยแถวหน้าสุด โดยแอมตัดผมสั้น สวมชุดผู้ต้องขัง สวมแว่นตา ใส่แมสก์ สีหน้าเรียบเฉย และดูอวบขึ้น

 

ขณะที่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ สวมชุดสูท ใส่แมสก์ สีหน้าเรียบเฉย ซึ่งทั้งคู่นั้นได้พูดคุยและก้มหน้าดูเอกสารให้กันและกัน แต่สังเกตได้ว่า ในขณะที่แม่ของก้อยขึ้นเบิกความ ทั้งคู่ไม่มีท่าทีที่จะฟังคำให้การของแม่ก้อยแต่อย่างใด โดยคาดว่าน่าจะใช้เวลาในการสืบพยานฝั่งโจทก์ตลอดทั้งวันนี้

ข่าวที่น่าสนใจ