ข่าว

เปิดพฤติการณ์ “บิ๊กเปา” ลวนลามลูกน้องสาว ในโบกี้รถไฟตู้นอน

เปิดคำร้องและพฤติการณ์ “บิ๊กเปา” บนโบกี้รถไฟ สุดสงสารฝ่ายหญิงที่ถูกกระทำ และต้องกล้ำกลืนฝืนทนมานานหลายปี เพราะถูกตามตื้อ ทั้งๆที่มีครอบครัวแล้ว

4 ก.ค.2567 จากกรณี ประธานศาลฎีกา ลงนามคำสั่งย้าย อธิบดีศาล ขนาดใหญ่เเห่งหนึ่ง ไปช่วยราชการสำนักงาน ประธานศาลฎีกา เป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2567  ภายหลังถูก เจ้าหน้าที่ หน้าบัลลังก์หญิง รายหนึ่ง ร้องเรียนว่าถูก อธิบดีศาล คนดังกล่าว ลวนลาม บนรถไฟ ตู้นอนเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2567  ในการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ จ.เชียงใหม่ โดยมีการ ร้องเรียน มายังเลขาธิการสำนักงาน ศาล ยุติธรรม เเละคณะกรรมการตุลาการ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2567ที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้พบว่า ใน หนังสือร้องเรียน ได้บรรยาย พฤติกรรม ของ อธิบดีศาล คนนี้อย่างละเอียด สรุปว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดทางอาญา และผิดวินัยอย่างร้ายแรง

 

โดยฝ่ายหญิงมีครอบครัวแล้ว และมีบุตร 2 คน มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ขณะเกิดเหตุรู้จักกับผู้ถูกกล่าวหาครั้งแรก ขณะเดินทางไปร่วมงานที่ศาลแห่งหนึ่งในจ.เชียงใหม่ และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลแขกผู้ใหญ่ ทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้พิพากษาระดับผู้บริหาร แต่ไม่แน่ใจว่าตำแหน่งอะไร ขณะไปดูแลอาหารและเครื่องดื่มที่โต๊ะ ดิฉันรู้สึกว่าไม่น่านับถือเหมือนผู้พิพากษาที่เคยร่วมงาน

คืนนั้น ผู้ถูกกล่าวหาม้วนธนบัตรจะใส่ในอกเสื้อของดิฉัน ดิฉันใช้มือปิดคอเสื้อไว้ และเลี่ยงไม่ไปที่โต๊ะนั้นอีก หลังจากนั้นเขาติดต่อเพื่อนดิฉันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ศาล ขอไลน์ของดิฉัน แต่ดิฉันบอกเพื่อนว่าไม่ต้องให้

 

นอกจากนี้ยังมี ผู้พิพากษา คนหนึ่ง บอกดิฉันว่าผู้ถูกกล่าวหา ขอไลน์เพื่อติดต่อดิฉัน แต่ดิฉันบอกว่าไม่ต้องให้ เพราะไม่มีอะไรที่จะติดต่อ แต่ผู้พิพากษาคนดังกล่าวบอกว่า ให้ๆ ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก แต่ดิฉันก็ยังคงยืนยันว่าอย่าให้ แต่ผู้พิพากษาคนดังกล่าว ก็ยังคงบอกว่าไม่มีอะไร

 

และยังบอกว่าผู้ถูกกล่าวหาชวนดิฉันไปรับประทานอาหารเที่ยงอีก 2-3 วันหลังจากนั้น แต่ดิฉันปฎิเสธ แต่ ผู้พิพากษา คนดังกล่าวบอกว่าไม่มีอะไร เขาก็จะไปด้วย ให้ดิฉันเดินทางไปก่อน ส่วนเขาจะตามไปทีหลัง

 

ดิฉันเกรงใจ เมื่อถึงวันนัด จึงชวนเพื่อนไปด้วย 2 คน พบผู้ถูกกล่าวหารออยู่ที่ร้านเพียงคนเดียว เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ในจ.เชียงใหม่ แต่ปรากฏว่า ผู้พิพากษา คนที่บอกว่าจะตามมากลับไม่มาตามนัด

 

หลังจากนั้นดิฉันเลี่ยงที่จะพบกับ ผู้พิพากษา ทั้ง 2 คน ส่วนผู้ถูกกล่าวหาส่งข้อความทักทายมาทุกวัน แต่ดิฉันไม่ตอบกลับ เช่นถามว่า กินข้าวรึยัง จนรู้สึกรำคาญ จึงบล็อคไลน์

 

ต่อมาศาลจัดงานเลี้ยงอีกครั้ง ดิฉันเห็นผู้ถูกกล่าวหามาร่วมงานจึงกลับบ้าน

 

ทั้งนี้ใน หนังสือร้องเรียน พบว่า หน้าบัลลังก์หญิงบรรยายให้เห็นว่า อธิบดีศาล ผู้ถูกกล่าวหา  พยายามมาจีบ ตั้งแต่เดือน ก.ย.2566 เมื่อผู้ถูกกล่าวหามาเป็นอธิบดีในศาลเดียวกัน โดยฝ่ายหญิงพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด รวมทั้งเธอเคยขอให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งรับตัวเองเป็นหน้าบัลลังก์เพราะกลัวว่าจะต้องไปเป็นหน้าห้องอธิบดีศาล ผู้ถูกกล่าวหาด้วย

 

ต่อมา วันที่ 31 พ.ค.2567 มีการจัดสัมมนากิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ จ.เชียงใหม่ เดินทางโดยรถไฟตู้นอนพิเศษ ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร เวลา 18.40 น. มีการจัดห้องนอน บนรถไฟ ตามผังที่นอน

 

ดิฉันรู้สึกแปลกใจที่ถูกจัดให้นอน ตู้นอนชั้น 2 ซึ่งติดกับตู้นอนชั้น 1 ของผู้บริหาร ซึ่งอยู่ท้ายขบวน โดยดิฉันนอนเตียงล่างติดห้องน้ำ ในขณะเพื่อนๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ หน้าบัลลังก์ ถูกจัดให้พักช่วงต้นขบวน

 

เมื่อขึ้นรถไฟแล้วดิฉันไปอยู่กับเพื่อนที่ขบวนที่ 4 ไม่ได้อยู่ที่ตู้นอนตัวเอง ปรากฎว่า ฝ่ายชายเดินตามหาที่ตู้นอนหลายรอบ และเดินมาเจอดิฉันกับเพื่อน ก็พูดขึ้นว่า "มาอยู่ที่นี่เอง เดินตามหาตั้งนาน"

 

ขณะนั่งกินอาหารที่ ตู้เสบียง โดยดิฉันพยายามถ่วงเวลาจนดึกวันที่ 1 มิ.ย.2567 ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาค่อยๆ ขยับที่นั่งใกล้เข้ามา ก่อนจะมาที่โต๊ะดิฉันและพูดว่า "แอบมานั่ง อยู่ที่นี่เอง" แล้วเข้ามานั่งบนที่พักแขนเก้าอี้ตัวที่ดิฉันนั่งอยู่ และได้ใช้มือลูบผมดิฉัน ก่อนที่จะโอบไหล่ ดิฉันรู้สึกแย่ คิดว่าจะต้องแก้ไขเหตุการณ์นั้นอย่างไร จังหวะนั้น มีผู้หญิงในกลุ่มพูดขึ้นว่า "พวกเราไปนอนกันเถอะ" ดิฉัน จึงขอตัวไปนอน แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้นอน

 

ขณะดิฉันถอดคอนแทคเลนส์ ที่อ่างล้างมือหน้าห้องน้ำ เตรียมตัวเข้านอน เหลือบเห็นผู้ถูกกล่าวหาเดินมา ดิฉันจะเดินหลบออกมา แต่กลับถูกดึงแขนไว้และถามว่า "ทำไมไม่ทักผม ชวนไปทานข้าวก็ไม่ยอมไป" 

 

จากนั้นเขาถามต่อว่า "แฟนหวงนักหรือ ไปแอบมีลูกอีกคนตอนไหน" ดิฉันรู้สึกแย่กับคำถาม ดิฉันมีสามีโดยเปิดเผย หากสามีจะหวงดิฉันก็เป็นเรื่องปกติ ดิฉันยืนถ่วงเวลาอยู่ได้สักพักหนึ่งเห็นผู้หญิงอีกคนเดินมา ผู้ถูกกล่าวหาจึงเดินออกไป

 

ภายหลังดิฉันทราบว่า ก่อนที่หญิงคนดังกล่าวจะเดินมาหา มีเพื่อนจะมาหาดิฉันเพราะเป็นห่วง แต่มีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ยืนกันอยู่ตรงประตูทางเข้า ไม่ให้เพื่อนและคนอื่นเดินผ่าน รู้สึกแย่ลงไปอีก คิดว่าคืนนี้หากมีเรื่องร้ายๆ มีใครที่ดิฉันพอจะพึ่งพาได้

 

ดิฉันหลับไปได้ไม่นาน เวลา 02.00 น.  ตกใจตื่นเพราะมีคนเข้ามานอนเบียด ลวนลาม ปรากฏว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหา รู้สึกกลัวมาก ตั้งสติและออกอุบายว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ถูกใช้มือและแขนล็อคคอจนรู้สึกเจ็บที่คางและตันคอ หน้าถูกกดเบียดที่นอน ช่วงตันขาก็ถูกกด พยายามดิ้น เหวี่ยงแขน แต่ถูกจับแขนและข้อมือไว้

 

ดิฉันได้ยินเสียงคล้ายคนเดิน คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้า ซึ่งนอนเตียงล่างอีกฝั่งหนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหาพูดขึ้นว่า อย่าเสียงดัง เดี๋ยวจะไปแล้ว จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาจึงออกไปจากที่นอนของดิฉัน

 

ดิฉันนอนหลับตา ร้องไห้ ไม่กล้าหลับอีก เวลา 03.00 น. ได้ยินเสียงคนเปิดห้องน้ำ อุ่นใจว่ามีคนตื่นกันแล้ว อีกไม่นาน ผู้ถูกกล่าวหาแหวกม่านเข้ามานอนที่เตียงของดิฉัน ดิฉันจะลุกขึ้นหนี แต่ถูกใช้มือรวบตัว กดให้นอน บอกว่าขอนอนกอดเฉยๆ มีการฉุดกระชากกัน ดิฉันถูกดึงผม จังหวะนั้นมีเสียงคล้ายคนเดินผ่านมาอีก พอเสียงเงียบผู้ถูกกล่าวหาก็ออกไป

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการจัดให้ดิฉันนอนเตียงล่างติดห้องน้ำ เป็นการวางแผนกันมาก่อนแล้ว

 

ดิฉันไม่ได้หลับอีก รู้สึกเจ็บแขนและข้อมือ ปวดต้นคอและคาง สร้อยคอและสร้อยข้อมือขาด

 

ดิฉันนอนคิดว่าจะลาออกไปหางานอื่นทำ คิดถึงครอบครัว สามีและลูกทั้ง 2 คน ภาระต่างๆ กว่าจะได้บรรจุเป็นข้าราชการ ใช้ชีวิตตามปกติก็ลำบากพอแล้ว เคยตั้งใจที่จะให้ลูกเรียนสูงๆ จะได้เป็นผู้พิพากษากับเขาบ้าง

 

ดิฉันเริ่มร้องไห้ จนเวลา 05.00 น. เริ่มมีคนตื่นมาเข้าห้องน้ำ ดิฉันจึงแต่งตัว เพื่อนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน้าห้องตกใจเมื่อเห็นสภาพเส้นผมขาดเป็นกระจุกอยู่บนที่นอน

 

ดิฉันไม่ร้องเรียน ไม่แจ้งความ เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้บังคับบัญชา หลายปี ดิฉันรู้สึกหวาดกลัว วิตก เครียดมาก

ข่าวที่น่าสนใจ