ข่าว

นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ ร้องถูกกลุ่มคุกคาม จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

07 ก.ค. 2567

หน่วยเหนือคือหน่วยไหน? นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย ร้องถูกกลุ่มคุกคามจากหน่วยเหนือ จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

7 ก.ค.2567 จากกรณีที่มีกลุ่มนักกีฬาคนตาบอด เดินทางไปยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกร้องขอความเป็นธรรม และให้ตรวจสอบการฮุบโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 2,647 เล่ม ของนักกีฬาคนตาบอด ซึ่งเกิดความเข้าใจผิด ในเรื่องการเป็นสมาชิกรับสลากฯ กับ สมาชิกสามัญของสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย ตามที่มีการเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ ร้องถูกกลุ่มคุกคาม จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

ล่าสุด นายอำนวย กลิ่นอยู่ นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายกองตรีดร.สุธน จิตร์มั่น เลขาธิการสมาคมฯ ,พลเอกวิทยา ขันธอุบล ประธานที่ปรึกษาสมาคมฯ และพลโทถาวร ไทยแขก คณะอนุกรรมการสมาคมฯ ได้พาสื่อมวลชนเยี่ยมชมการแจกจ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ของ งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ให้กับสมาชิกผู้รับสลากฯ ของสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย 

โดยนายอำนวย เปิดเผยว่า ตนเองในฐานะนายกสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซึ่งในวันนี้ได้เชิญสื่อ มาเยี่ยมชมการแจกจ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งทำเป็นประจำทุกวันที่ 6 และวันที่ 21 ของทุกเดือน ที่เราทำมานานหลายปีแล้ว และที่ผ่านมาจะมีสมาชิกผู้รับสลากฯของเราเข้ามารับแบบนี้เป็นประจำ โดยสมาคมฯ จะมีการจัดสรรโควตาสลากฯ ให้กับสมาชิกผู้รับสลากฯ

นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ ร้องถูกกลุ่มคุกคาม จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

หลังจากได้รับโควตาจากสำนักงานสลากฯ จำนวน 2,647 เล่ม จึงได้นำสื่อมาชมให้เห็นกับตาว่า เราได้แจกจ่ายสลากฯ ให้กับสมาชิกผู้รับสลากฯ จริงๆ ไม่ใช่ตามที่ถูกกลุ่มคนที่ไปยื่นหนังสือร้องเรียน ถึงท่านนายกรัฐมนตรีตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งทางตนเองและสมาคมฯ พร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด

 

แต่หลังจากที่มีการร้องเรียนไป กลับมีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาซุ่มสังเกตการณ์พฤติกรรมของตนเอง และเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ อีกทั้งกล้องวงจรปิดทุกตัวของสมาคมฯ ก็ถูกคลื่นสัญญาณรบกวน ไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาซุ่มอยู่ จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน

 

นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ ร้องถูกกลุ่มคุกคาม จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

เมื่อตนเองให้เจ้าหน้าที่ เข้าไปสอบถามก็ได้แสดงตัว พร้อมแสดงบัตรว่าเป็นตำรวจ โดยอ้างว่าหน่วยเหนือสั่งให้มา ตนเองจึงไม่รู้ว่าหน่วยเหนือที่กล่าวนี้ เป็นหน่วยเหนืออะไร เหนือกฎหมาย เหนือระเบียบข้อบังคับ เหนือคุณธรรม หรือว่าเป็นคำสั่งผู้มีอำนาจ หรืออย่างไร ยิ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น เพราะถูกคุกคาม จึงได้ประสานกับพลเอก วิทยา ขันธอุบล ประธานที่ปรึกษาสมาคมฯ และพลโท ถาวร ไทยแขก คณะอนุกรรมการสมาคมฯ ให้ช่วยประสานเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้ในเบื้องต้น

 

นายกสมาคมกีฬาคนตาบอดฯ ร้องถูกกลุ่มคุกคาม จ่อแจ้งความ หวั่นถูกกลั่นแกล้ง

 นอกจากนี้ นายอำนวย ยังกล่าวอีกว่า ตนเองประกอบอาชีพการค้าสลากฯ มามากกว่า 50 ปี จึงทำให้รู้จักคนเยอะ ทั้งนักการเมือง และบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งก็มีการไปร่วมกิจกรรม ทำประโยชน์สาธารณะด้วยกัน จึงอาจจะทำให้มีการเชื่อมโยงว่าตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มคนเหล่านั้น

 

แต่แท้ที่จริงแล้ว ตนเองไม่ได้ยึดโยงกับนักการเมืองกลุ่มใด ประกอบกับมีกลุ่มนักกีฬาคนตาบอด ไปร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีที่ตนเองตัดสิทธิโควตาสลากฯ เนื่องจากนักกีฬาคนตาบอด กลุ่มนี้ไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสมาคมฯ ว่าต้องการที่จะส่งเสริมให้นักกีฬาโฟกัสเรื่องของการฝึกซ้อม มากกว่าที่จะเอาเวลาไปเร่ขายสลากฯ จนนำมาสู่ความไม่พอใจ และร้องเรียน

 

เฉกเช่นเดียวกับคุณพนม และคุณศึกษา ลักษณะพริ้ม สมาชิกสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนเองไม่เห็นด้วยที่นักกีฬาคนตาบอดกลุ่มนี้ไปร้องเรียน เนื่องจากตนเองมองว่า ในเมื่อคุณเป็นนักกีฬา ก็ต้องโฟกัสเรื่องการฝึกซ้อมเป็นหลัก เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ และชื่อเสียงของตนเองและประเทศชาติ จึงไม่ควรเอาเวลาฝึกซ้อมมาเร่ขายสลากฯ จนทำให้เสียเวลาฝึกซ้อม

 

ซึ่งทางสมาคมฯ ก็ได้ดูแลกลุ่มนักกีฬาเหล่านั้นด้วยดีมาตลอด โดยมีกองทุนสวัสดิการนักกีฬาคนตาบอดและบุคลากรทีมชาติไทย คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ และที่ผ่านมาถ้าได้อนุมัติเป็นนักกีฬาคนตาบอดทีมชาติไทย ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย ก็สนับสนุนงบประมาณในการเก็บตัวฝึกซ้อม เป็นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหารและค่าที่พัก จำนวนวันละ 900 บาท อยู่แล้ว และทางสมาคมฯบริหารงานอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้

 

อย่างไรก็ตาม นายอำนวย ระบุว่า ตนเองรับไม่ได้จากการที่ถูกข่มขู่คุกคาม อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนพิการแล้วจะรังแกได้ตามใจชอบ ผมเชื่อมั่นในความดี ในกฎหมายของบ้านเมืองและเชื่อในกฎแห่งกรรม ซึ่งหลังจากนี้ ผมจะพิจารณาดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนเองต่อไป ตามที่จำเป็นและเห็นสมควร