ข่าว

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

11 ก.ค. 2567

แม่ยังทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย "โค้ชเทพ" ด้านผู้กำกับหนังสั้น ย้อนเล่านาทีเจอน้องโอปอล เตือนผู้ปกครอง ใส่ใจลูกหลาน ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

11 ก.ค. 2567 แม้จะเป็นวันที่ 3 ในการบำเพ็ญกุศลศพของ ว่าที่ร้อยโทสุเทพ ชัยนันตา หรือ โค้ชเทพ แต่แม่ของโค้ชเทพยังคงทำใจไม่ได้ กับการจากไปของลูกชาย และยังไม่ได้เดินทางมาร่วมงานศพเลย เนื่องจากหวั่นว่าจะรู้สึกหดหู่มากกว่าเดิม

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

 

ดร.กฤษณา กาเผือก นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ พี่สาวของ ว่าที่ร้อยโทสุเทพ เปิดเผยว่า ตอนนี้แม่ยังอยู่ที่บ้าน ไม่ได้มาร่วมงานศพ คนเคยอยู่ด้วยกัน เคยกอด เคยหอม แต่วันนี้ไม่มีแล้วก็รู้สึกขาดสิ่งสำคัญคนสำคัญไป ตอนนี้แม่ก็ยังนั่งอยู่ที่บ้านเหมือนกับนั่งรอลูกชายกลับบ้าน อย่างที่เคยทำมาตลอด

 

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

ตนก็ไม่อยากจะให้แม่รู้สึกแย่ไปกว่านี้ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่อยากจะให้ผู้ปกครองของคนร้าย ไปขอขมาแม่ที่บ้าน เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับแม่ทางอ้อม และป้าที่นอนป่วยติดเตียง ก็ยังไม่ทราบว่าโค้ชเทพเสียชีวิตแล้ว ที่ไม่มีใครบอก เนื่องจากกลัวท่านจะอาการทรุด

 

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

ขณะที่ ผู้กำกับหนังที่ “โอปอล” (คนร้ายก่อเหตุชิงทอง) เปิดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด หวั่นกลัวซ้ำรอย เตือนผู้ปกครองเอาใจใส่บุตรหลานที่เก็บตัว ที่บริษัทวายุฟิล์มโปรดักชั่น นายณิชภูมิ (สงวนนามสกุล)  ผู้กำกับหนังค่ายวายุฟิล์ม จ.เชียงใหม่ ที่เคยกำกับหนังโอปอลเป็นพระเอก

 

เปิดเผยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เมื่อ 5 ปีก่อน เคยทำงานกับน้อง 2-3 วัน เป็นหนังผีแนวฆาตกรรม บุคลิกน้องเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ไม่คุยกับใครก่อน ตั้งใจทำงานตั้งใจแสดง คือ อาชีพเราผู้กำกับรับจ้างกำกับ รับจ้างโปรดักชั่น รับจ้างปั้นนักแสดง ตอนนั้นเราก็รู้สึกแฮปปี้นะ แฮปปี้ ที่ทางทางบ้านน้องเนี่ย มีนโยบายว่าซัพพอร์ตให้น้องได้เป็นนายแบบ ซัพพอร์ตให้น้องได้มาลองเป็นพระเอกหนัง

 

ทางบ้านมีการสปอนเซอร์ส่งเสริมเรา ในแง่ของคนทำงาน ส่งเสริมบุตรชายของตัวเองให้กล้าแสดงออกมากขึ้น มองว่าเป็นลูกค้าจ๊อบหนึ่ง หน้าที่เราก็คือเอาบุตรหลานของท่านมามาเขียนบท ให้เหมาะสมกับบุคลิกของของบุตรหลานแต่ละท่าน ใครเป็นคนเงียบๆ พูดน้อยไม่กล้าแสดงออก ก็เป็นหน้าที่ต้องเขียนบทเพื่อให้สอดคล้องกับบุคลิกของของบุตรหลาน

 

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

น้องโอปอลก็เลยถูกเขียนบทให้เป็นบุคลิกตรงตามคลิปจริง ก็คือผู้ชายเรียบร้อยพูดน้อย ไม่พูด ไม่จา ไม่มีรอยยิ้ม แววตาดูคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการทำงานก็ราบรื่นดี ทางบ้านน้องก็ซัพพอร์ตน้อง ซัพพอร์ตทุกคนอย่างดี ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในยุคนั้นครับ และงานจบลงด้วยดี น้องๆ ไม่ได้มีพฤติกรรมที่จะเป็นคนก้าวร้าว ก็ตั้งใจทำงาน พอปิดกล้องแยกย้ายคนละทิศคนละทาง เหลือไว้ผลงาน ความทรงจำดีๆ ครั้งนึงเราเคยกำกับน้องคนนี้

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

เราเริ่มสังเกตตอนถ่ายทำแล้วว่า ดูน้องไม่มีแพชชั่นในการอยากเป็นนักแสดง  แต่ทางบ้านอยากให้น้องกล้าแสดงออก ให้เข้าสังคม มีการสื่อสารผู้อื่น แสดงอารมณ์ต่างๆ กว่าที่เป็นอยู่ ทางบ้านคงเห็นปัญหานี้ จึงส่งเสริมน้อง ไปประกวดเดินแบบ เรียนการแสดง

 

พูดง่ายๆ คือทางบ้านปรับนิสัยของน้อง เราที่ไม่ได้เจอน้องมา 5 ปี พอเห็นข่าวก็รู้สึกตกใจ เสียใจกับสิ่งที่น้องทำ เสียใจกับผู้สูญเสีย ส่วนกรณีเลียนแบบเกม ในฐานะที่เป็นคนเล่นเกมคนหนึ่ง เป็นคนติดเกมเลยก็ว่าได้ ทุกวันวันละ 3-6 ชั่วโมง เป็นเกมแนวฆาตกรรม เกมซอมบี้ ยิงซอมบี้ เกมชกต่อยก็เล่น

แม่ทำใจไม่ได้ ไม่กล้าไปงานศพลูกชาย ด้านผู้กำกับหนังย้อนเล่านาทีเจอ โอปอล

แต่ผมบอกได้เลย เหตุจูงใจของน้อง ไม่เกี่ยวกับเกมเกี่ยวกับหนังหรือสิ่งอื่น มันน่าจะเกี่ยวกับวิธีการบางอย่างที่น้องเติบโต แล้วถูกหล่อหลอมมา เพราะอาจจะขาดอะไรไปบางอย่างในชีวิต เช่น อาจจะขาด จริงอยู่ที่พ่อแม่ก็รักลูกทุกคน แต่น้องอาจจะได้รับวิธีการมอบความรักอีกแบบหนึ่ง ที่จะผิดเพี้ยนไป ความอบอุ่นจากสถาบันครอบครัว น้องน่าจะขาดตรงส่วนนั้น ผมมองว่าเป็นบุคลิกเฉพาะตัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับเกมกับหนัง

 

กระบวนการที่จะมีใครสักคนนึง ที่คอยดึงน้องออกมาจากโลกตรงนั้น แล้วสอนให้รู้ว่า เราเป็นมนุษย์แบบไม่มีอะไรง่ายเหมือนเกม เราต้องมีความรักเราต้องมีความเป็นมนุษย์ มันเป็นเรื่องปัจเจกมากกว่า น้องอาจจะขาด บุคคลคนนั้น

 

 ซึ่งผมไม่รู้ล่ะว่าน้องเติบโตมาแบบไหน แต่แสดงได้เพียงความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก อยากให้ผู้ปกครอง เห็นเคสนี้แล้ว หากบุตรหลานเก็บตัว เงียบไม่คุยกับใคร ไม่ค่อยแสดงออกสื่อสารกับใคร มีบุคลิกแบบน้องก็น่าเป็นห่วง

 

การทำงานหาเงิน เพื่อเอาเงินเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่การใช้เพียงเงินเลี้ยงลูกอย่างเดียว ใช้เวลาของท่านในการหาเงินอย่างเดียว จนไม่ให้เวลาเลี้ยงลูก ผมมองว่าเป็นดาบสองคม รีบแบ่งเวลาของท่านมาให้บุตรหลานเถอะ บุตรหลานท่านต้องการความรัก การใส่ใจ ความอบอุ่น การให้ความรู้ อันนี้น่าจะช่วยลดปัญหาของการสร้างความรุนแรงในอนาคตได้ เพราะว่าน้องอาจจะแค่ไม่มีทางออก ไม่มีใครให้คุยด้วย เป็นเรื่องของครอบครัว การศึกษา ที่เราต้องใส่ใจมากขึ้น