ตร.ไซเบอร์ รวบ บัญชีม้า สารภาพสตอรี่ระทึก หลังถูกหลอกไปขังในคาสิโนปอยเปต
ตำรวจไซเบอร์ รวบสาวบัญชีม้าแก๊งหลอกลงทุนคริปโต 125 ล้าน ยอมสารภาพ สมัครงานธุรการแลกเงินในคาสิโน มีขบวนการพาข้ามแดนไปเขมร ถึงจุดหมายกลับถูกขังห้องในคาสิโน ใช้ให้แสกนหน้าโอนเงินเท่านั้น
ตำรวจไซเบอร์ จับกุม น.ส.กฐิน (ขอสงวนชื่อและสกุลจริง) อายุ 25 ปี 1 ในบัญชีม้าแก๊งหลอกลงทุนคริปโต 125 ล้าน หลังจากเมื่อ 23 เม.ย.67 ที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์ได้แถลงปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโต ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 125 ล้าน เพื่อเตรียมเฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย
โดยชุดจับกุม พ.ต.ท.ชนทัช วุฒิภัทรโสภณ, พ.ต.ท.วีระศักดิ์ แก้วเนียม รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 ได้สอบสวน น.ส.กฐิน ให้การว่า เคยค้นหาประกาศรับสมัครงานบนแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก และโพสต์หางานในกลุ่มคนไทยที่อยากหางานทำในปอยเปต จากนั้นได้มีบัญชีเฟซบุ๊กอวตารติดต่อมาอ้างว่ากำลังรับสมัครงานหน้าที่แอดมิน โดยทำงานเกี่ยวกับงานธุรการทั่วไปและงานธุรการในการแลกเงินสกุลดอลลาร์ ตนจึงสนใจแล้วได้แลกไลน์กันและสมัครไป
จากนั้นคนรับสมัครงานดังกล่าวได้แจ้งให้ตนเปิดบัญชีธนาคารที่ฝั่งไทย โดยอ้างว่าไว้ใช้สำหรับเป็นบัญชีรับโอนเงินเดือน ก่อนจะนัดเจอกันบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชา
เมื่อตนมาตามนัด ปรากฎว่า มีรถกระบะมารับตนจากจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ไปส่งยังบริเวณริมชายแดนในพื้นที่ ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ต่อมาได้มีคนมานำทางพาเดินข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติเพื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งระหว่างเดินทางจะมีคนมารับแล้วเปลี่ยนคนนำทางต่อเป็นช่วงๆ ประมาณ 4 ช่วง ซึ่งระหว่างเดินทาง คนนำทางได้พาลัดเลาะเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนตนก็สับสนและจำทางกลับไม่ได้รวมเป็นระยะทางกว่า 1 กม.
เมื่อข้ามแดนไปแล้ว คนนำทางก็ได้มาส่งตนที่บ้านร้างเพื่อพักคอย จากนั้นจึงมีรถแท็กซี่มารับตนไปส่งที่ตึกคาสิโนแห่งหนึ่งใน ต.ปอยเปต อ.อูร์ชเรา จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงปรากฏว่าตนถูกบังคับให้อยู่แค่ในห้องของตึกคาสิโนดังกล่าว โดยพบว่าในห้องนั้น ยังมีคนไทยที่โดนหลอกทำงานเหมือนตนอีกประมาณ 50-60 คน รวมทั้งมีเด็กอายุต่ำสุดเพียง 15-16 ปี หลายรายอยู่ในจำนวนนี้ด้วย
โดยผู้ต้องหามีหน้าที่เพียงแค่คอยสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินของเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปยังบัญชีอื่นๆ โดยผู้ควบคุมอนุญาตให้กินอาหารเพียงแค่ 2 มื้อต่อวัน ในเวลาประมาณ 14.00 น. และ 23.00 น. ซึ่งขณะอยู่ในห้องจะมีชายฉกรรจ์คอยถือเครื่องช็อตไฟฟ้า กระบอง และอาวุธปืนคอยคุมเข้มตลอดเวลา อีกทั้งตนเองก็เคยเห็นคู่ผัวเมียคนไทยแอบใช้มือถือต่อไวไฟได้แล้วพยายามแจ้งความ แต่โดนจับได้เสียก่อน จึงถูกผู้ควบคุมซ้อมและใช้เครื่องไฟฟ้าช็อตต่อหน้าต่อตา ส่วนตนเองก็เคยแอบถ่ายรูปส่งให้ญาติที่ฝั่งไทยจนเกือบถูกจับได้เหมือนกัน
ต่อมาเมื่อบัญชีธนาคารของตนโดนอายัดหมดทุกบัญชี ผู้ควบคุมจึงถามว่าต้องการทำงานต่อไหม ตนจึงอ้างว่าต้องกลับบ้านไปดูแลยายที่ชราและพยายามอ้อนวอน สุดท้ายตนจึงได้ถูกปล่อยกลับออกมาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแม้แต่บาทเดียว และยังโดนยึดโทรศัพท์มือถือ สิ่งของและเอกสารติดตัวทุกอย่าง
โดยมีคนมาส่งบริเวณชายแดนฝั่งกัมพูชา แล้วปล่อยให้ตนเดินลุยน้ำลึกระดับเอวเพื่อข้ามคลองกลับมาฝั่งไทยเอง จนสุดท้ายมาโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในที่สุด
ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ
สำหรับคดีปฏิบัติการ BLACK HAT มิจฉาชีพหลอกลงทุนคริปโต โดนสร้างโปรไฟล์ปลอม หลอกลวงให้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Cryptocurrency สร้างความเสียหายรวมกันมูลค่ากว่า 530 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินของคดีดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินในคดีเว็บพนันออนไลน์จำนวน 2 เครือข่าย มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาท จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 23 ราย พร้อมยึดเงินสดกว่า 117 ล้านบาท พร้อมทั้งรถยนต์ Porsche จำนวน 1 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 125 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหาย
จากกรณีข้างต้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ขยายผลทุกมิติ เพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องให้ได้ทั้งขบวนการ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จึงมอบหมาย ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สืบสวนเพิ่มเติม จนสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการเพิ่มได้อีกหลายราย ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน”