ข่าว

จ่อขัง สอบวินัยร้ายแรง ตำรวจ ยศพันโท ยังปฎิเสธ เป็น หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จ่อขัง สอบวินัยร้ายแรง ตำรวจ ยศพันโท ยังปฎิเสธ เป็น หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

20 ก.ค. 2567

สอบเครียด ตำรวจ ยศพันโท ยังปฎิเสธ เป็น หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภาค 5 เตรียมฝากขังก่อนตั้งสอบวินัยร้ายแรง ลูกสาวกลายเป็นผู้ต้องหาเบอร์ 1

20 ก.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุมัติหมายจับ พันตำรวจโทบัณฑิต คนการ สารวัตร อก.สภ.หางดง จังหวัดเชียงใหม่ ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น. พลตำรวจตรี วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เดินทางมาสอบปากคำ พันตำรวจโทบัณฑิต ผู้ต้องหาด้วยตัวเองใช้สอบปากคำประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน 

 

พลตำรวจตรี วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่าจากการสอบสวน ยังไม่เป็นทางการซึ่งจากการซักถามเบื้องต้นเขาให้การว่าเขาก็ทราบเครื่องซิมบ๊อกซ์ที่ได้รับมาเขาเป็นคนขึ้นไปดูเองที่ห้องของลูกสาวซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ของคดีนี้ที่โดยได้ขึ้นไปดูเครื่องเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงให้การว่าไม่ทราบว่าเครื่องนี้ทำงานอย่างไร

 

ส่วนการรู้จักแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นคือคนที่ต่อคือเป็นแฟนของลูกติดภรรยาใหม่เขาซึ่งเป็นผู้หญิง ซื่อแคทซึ่งเป็นสัญชาติเมียนมาค่อยประสานงานว่าจะเอาอุปกรณ์ทั้งหมดมาติดตั้งที่ไหนภายในห้องในเขตจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งห้องเป็นห้องของลูกสาว ซึ่งมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตอยู่แล้วเขาคิดว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์เอาไว้กระจายสัญญาณเท่านั้นไม่ทราบว่าเป็นซิมบ๊อกซ์ 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

 

หลังจากที่ตำรวจจับกุมทั้งหมด 3 จุดในเขตอำเภอเมืองเข้าทำการตรวจค้นที่ห้องพักเลขที่ 465/33 อาคารชุดเอื้ออาทรป่าตัน 1 อาคาร1 ต.ป่าตัน อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ห้องพักเลขที่ 460/60 อาคารชุดบ้านเอื้ออาทรไนท์ซาฟารี อาคาร1 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่

 

จากการตรวจค้นก็พบเครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์แบบใส่ซิมการ์ด(SimBox) จำนวน 12 เครื่อง เครื่องสำรองไฟ โดยจากพยานหลักฐานที่เราดูนั้น กลุ่มผู้ต้องหาตัวการสำคัญนั้นจะอยู่ต่างประเทศซึ่งอาจจะเป็นคนเชื้อสายจีนโดยมีพนักงานคนไทยไปทำ ซึ่งกลุ่มพวกนี้จะไม่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในไทยแต่อุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารเบื้องต้นซึ่งอุปกรณ์นี้ผู้โทรจะสามารถโทรจากต่างประเทศมาไทยได้เป็นเบอร์โทรในไทยโดยใช้สัญญาณจากกล่องตัวนี้ทั้ง เอสเอ็มเอสและโทรศัพท์ 

 

การกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดก็เป็นขบวนการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้นเองแต่ไม่ได้เป็นตัวการหลักและไม่ได้เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามที่เป็นการซึ่งดูแล้วเป็นการแบ่งหน้าที่การทำมากกว่าเหมือนองค์กรอาชญากรรมซึ่งผู้ต้องหาหลักอยู่ต่างประเทศ

 

ในคดีของภาค 5 นั้นจะทำเป็นคดี พรบ.การมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมซึ่งเราพิสูจน์เชื่อได้ว่าการกระทำผิดส่วนหนึ่งนอกราชอาณาจักรเครื่องพวกนี้มีหัวหน้านำเข้ามาโดยผ่านช่องทางชายแดนประเทศไทยเพื่อมากระทำความผิด ซึ่งความเชื่อมโยงต่างๆหากเรารวบรวมพยานหลักฐานไปยังตัวการหลัก ทางตำรวจก็จะดำเนินคดีเรื่องการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมซึ่งเป็นเรื่องของอาชญากรรมข้ามชาติ 

 

จ่อขัง สอบวินัยร้ายแรง ตำรวจ ยศพันโท ยังปฎิเสธ เป็น หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์
 

 

อย่างไรก็ตามซิมบ๊อกที่เราตรวจเจอ 3 จุดนั้นเป็นการใช้เสาสัญญาณในไทยซึ่งเสี่ยงต่อการจับกุมมากดังนั้นขบวนการเหล่านี้จึงเลือกที่จะไปตั้งเสาตามแนวชายแดนไทยดังนั้นเพื่อเป็นการปราบปรามและตัดวงจรขบวนการคอลเซ็นเตอร์ทางตำรวจจะมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะไปดูเสาสัญญาที่แนวชายแดน ทำลายซิมม้าและบัญชีม้าควบคู่ไปด้วย

 

ในส่วนความผิดของพันตำรวจโทบัณฑิต ผู้ต้องหานั้นขณะนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการไปยัง ผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ให้มีการตั้งคณะกรรมการทำงาน ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าว

 

ขณะเดียวกันในเรื่องของการขอประกันนั้นก็ต้องอยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนจากข้อมูลจับกุมผู้ต้องหาชุดแรกให้การว่าได้นัด พันตำรวจโทบัณฑิต ผู้ต้องหาซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงนั้นไปพบกับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่จังหวัดพะเยาเพื่อนำกล่องซิมบ๊อกซ์มาติดตั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับเงินชุดแรกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 80,000 บาทเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2567 เพื่อนำเงินจำนวนนี้มาหาห้องเช่าและติดตั้งอุปกรณ์ โดยได้เริ่มติดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งได้ตั้งกล่องซิมบ๊อกไปทั้งหมด 12 เครื่องและได้ค่าเช่าเครื่องเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งขบวนการนี้วางแผนจะติดตั้งกล่องซิมบ๊อก ทั้งหมด 40 เครื่อง กระทั่งมาถูกตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 กค. 2567 

 

ทั้งนี้ในเบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหานข้อหา "ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งจะมีการนำตัวพันตำรวจโทบัณฑิต ผู้ต้องหาไปฝากขังกับศาลจังหวัดเชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้ (21 ก.ค. 2567)