ข่าว

“ทักษิณ” ยิ้มแย้มเดินออกจากศาล หลังยื่นบัญชีพยาน 14 ปาก สู้คดี "ม. 112"

“ทักษิณ” ยิ้มแย้มเดินออกจากศาล หลังยื่นบัญชีพยาน 14 ปาก สู้คดี "ม. 112"

19 ส.ค. 2567

“ทักษิณ” ใบหน้ายิ้มแย้ม เดินทางออกจากศาลอาญา พร้อมกล่าวสั้นๆ “ไม่มีอะไร” หลังยื่นบัญชีพยาน 14 ปาก สู้คดี “ม. 112”

ทักษิณ ชินวัตร

19 ส.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2558 โดยในวันนี้ นายทักษิณ เดินทางมาศาล

 

ภายหลังใช้เวลาตรวจพยานหลักฐานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เวลา 11.33 น. นายทักษิณ ได้เดินออกมาจากศาลอาญา โดยถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณด้านหน้าศาล

 

ทั้งนี้ ระหว่างที่นายทักษิณ กำลังขึ้นรถกลับ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามบรรยากาศในการนัดตรวจพยานหลักฐานว่าเป็นอย่างไร นายทักษิณ ได้โบกมือพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ว่า ก็ไม่มีอะไร จากนั้นเดินทางขึ้นรถกลับออกไปทันที

ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้ได้สอบคำให้การจำเลย โดยนายทักษิณให้การปฏิเสธพร้อมกับเสนอพยานหลักฐาน ประกอบด้วย พยานบุคคลฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก และพยานเอกสารอื่นๆ ซึ่งจะนำเสนอในชั้นพิจารณาคดีต่อไป

 

ส่วนฝ่ายโจทก์มีพยานทั้งสิ้น 10 ปาก เชื่อว่ามีการสอบสวนไปแล้วและฝ่ายโจทก์ไม่ได้อ้างพยานเพิ่มเติม เนื่องจากอาจจะเห็นว่าเป็นพยานที่ไม่มีประโยชน์หรืออาจเป็นพยานที่ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของฝั่งจำเลยได้

 

นอกจากนี้ ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์ นายวิญญัติยืนยันว่า คลิปที่มีการส่งตรวจตั้งแต่แรก เป็นการรวบรวมจากระบบอินเตอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่จริง  เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็นยืนยันว่า คลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อและการแปลความเป็นภาษาไทยก็ไม่สมบูรณ์ ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหาและนำไปสู่การกล่าวหานายทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่าหลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงการรวบรวมคลิป

 

สำหรับเรื่องคลิปที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้น ยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับศาลจะรับฟังพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยอย่างไร

 

อย่างไรก็ตามมองว่าเรื่องนี้ นายทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ตนมองว่า ระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข

 

สำหรับการสืบพยานหลังจากนี้มีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 ก.ค. 2568  นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16 , 22 และ 23 ก.ค. 2568  หลังจากนั้นจะจัดทำคำพิพากษาของศาลต่อไป

 

ซึ่งหลังการนัดสืบพยานในปีหน้านั้นเนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มีความเห็น

 

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลังหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากทักษิณว่า ท่านพร้อมที่จะมาสืบพยานทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเองและพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะได้แสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยก็เห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานลับหลัง ท่านอาจจะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง

 

ส่วนนายทักษิณ จะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้ นายทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ

 

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ กรณีที่เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณในการรักษาตัวที่ชั้น 14 นั้น นายวิญญัติกล่าวว่า นายทักษิณ ไม่ได้กังวล ซึ่งตนเองขอยืนยันว่า นายทักษิณป่วยจริง และตนก็เป็นทนายเพียงคนเดียวที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ และตัวนายทักษิณก็อยู่ชั้น 14 จริง

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก ป.ป.ช. เรียกนายทักษิณ ไปให้ปากคำ เจ้าตัวจะพร้อมเข้าให้ข้อมูลหรือไม่ นายวิญญัติ ระบุว่า อยู่ที่ว่านายทักษิณเกี่ยวอะไร เพราะท่านไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. จะพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูล และจะไต่สวนนายทักษิณหรือไม่ แต่หากมีการไต่สวนนายทักษิณ ก็ยินดี เพราะท่านกลับเข้ามาในประเทศ ท่านบอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามกติกาของสังคม โดยเฉพาะกฎหมาย ไม่เช่นนั้นนายทักษิณคงไม่เข้าสู่กระบวนการ ส่วนกระบวนการจะเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องในหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้อง 

 

ในส่วนคดีที่ยื่นฟ้อง นายแพทย์วรงค์ เดชนุกรม ประธานพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา รวม  2 ข้อหา กรณีพาดพิงเรื่องถุงขนม 2 พันล้านศาลนัดไต่สวน 30 ก.ย. 2567 เป็นนัดเเรก ยังไม่มีการไกล่เกลี่ยซึ่งนายทักษิณประสงค์จะดำเนินคดีถึงที่สุด