ข่าว

ป.ป.ช.เชือด 3 นายตำรวจ “พล.ต.ต.-พ.ต.อ.” ร่ำรวยผิดปกติ

ป.ป.ช.เชือด 3 นายตำรวจ “พล.ต.ต.-พ.ต.อ.” ร่ำรวยผิดปกติ

22 ส.ค. 2567

ป.ป.ช. ลงดาบเชือด 3 นายตำรวจ ยศใหญ่ 1 พล.ต.ต. - 2 พ.ต.อ. ร่ำรวยผิดปกติ เรียกรับเงินแก๊งค้าน้ำมันเถื่อน 36.7 ล้าน สอดไส้รับสินบนนำจับ 61.4 ล้าน

22 ส.ค. 2567 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญ กรณีร่ำรวยผิดปกติ รวมจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา นายบุญสืบ ไพรเถื่อน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ยศ พล.ต.ต.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ 

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายบุญสืบ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาการแทนในตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ และตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ สืบเนื่องจากการเรียกรับเงินจากผู้ลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย และผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหลายรายเป็นรายเดือน โดยมีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินของตนและคู่สมรส และมีการนำเงินไปชำระเบี้ยประกันชีวิต รวมจำนวน 36,770,717.76 บาท ดังนี้

  1. บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 10 รายการ รวมเป็นเงิน 2,369,455 บาท
  2. บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 2,503,750 บาท
  3. บัญชีธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขามาบุญครอง ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาท
  4. บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อน คู่สมรส จำนวน 128 รายการ รวมเป็นเงิน 23,456,162.76 บาท
  5. บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทประจำ 3 เดือน ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อน คู่สมรส จำนวน 1 รายการ จำนวน 5,000,000 บาท
  6. เงินที่ชำระเบี้ยประกันชีวิตกับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  จำนวน 2,041,350 บาท

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า นายบุญสืบ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 36,770,717.76 บาท

 

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม 

 

เรื่องที่ 2 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา พ.ต.อ.นพดล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่ำรวยผิดปกติ 

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี 2556 - 2559 พ.ต.อ.นพดล นิลมานนท์ ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้นำเงินสินบนรางวัลนำจับคดียาเสพติดที่เกิดจากการทำเรื่องขอเบิกโดยปลอมสายลับหรือผู้นำจับ รวม 44 คดี ฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง จำนวน 61,652,888 บาท และมีทรัพย์สินซึ่งไม่สัมพันธ์กับรายได้ที่ได้รับ จำนวน 10,786,000 บาท เป็นเงินที่นำฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเอง จำนวน 17 รายการ รวมเป็นเงิน 3,486,000 บาท เงินที่นำไปซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 6,000,000 บาท และที่ดิน ตำบลท่าสาย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 2 แปลง รวมเป็นเงิน 1,300,000 บาท 

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า พ.ต.อ.นพดล ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 72,438,888 บาท ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม 

 

เรื่องที่ 3 กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีกล่าวหา พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่ำรวยผิดปกติ 

 

ข้อเท็จจริง จากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี  2558 – 2560 พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์  ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด มีรายการฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากหลายรายการ โดย พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ ชี้แจงว่า ได้นำทองคำที่ซื้อสะสมมาตั้งแต่ปี 2538 – 2548 น้ำหนักทอง รวม 120 บาทเศษ ทยอยขายในระหว่างปี 2554 – 2555 แล้วนำเงินที่ได้ไปชำระค่าที่ดิน ตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 2 แปลง รวมเป็นเงิน 2,200,000 บาท และชำระหนี้กับธนาคาร จำนวน 3 งวด รวมเป็นเงิน 713,200 บาท แต่จากการตรวจสอบรายได้ของ พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ ช่วงระหว่างปี  2538 – 2548 มีรายได้ไม่เพียงพอที่จะซื้อทองคําสะสมได้ 

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์  ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 2,913,200 บาท

 

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม 

 

ทั้งนี้หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ