ข่าว

คุมอดีตผู้การชลบุรี – พวก 30 ผู้ต้องหา คดีเป้รักผู้การ ส่งอัยการ

คุมอดีตผู้การชลบุรี – พวก 30 ผู้ต้องหา คดีเป้รักผู้การ ส่งอัยการ

28 ส.ค. 2567

คุมตัวอดีตผู้การชลบุรี กับ ตำรวจรวม 19 นาย พลเรือน 11 ราย ผู้ต้องหารีดเงิน คดีเป้รักผู้การ ส่งอัยการ นัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ 26 ก.ย.นี้

28 ส.ค. 2567 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับทรัพย์จากเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ 140 ล้านบาท (คดีเป้รักผู้การ) พร้อมคณะทำงานสอบสวนได้นำสำนวน พร้อมเอกสารพยานหลักฐาน 55 แฟ้ม เอกสารมากกว่า 20,658 หน้า พร้อมความเห็นทางคดีมาส่งให้ นายสุรพันธ์ กิจพ่อค้า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตเพื่อพิจารณาสั่งคดี

 

โดยในวันนี้ ผู้ต้องหาทุกคนเดินทางมาตามนัดส่งตัว นำโดย พล.ต.ต.กัมพล อดีตผู้การชลบุรี หลังรับตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวน นายวัชรินทร์ พร้อม นายสุรพันธ์ , นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 และ พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันเเถลงข่าว

นายวัชรินทร์ เเถลงว่า คดีนี้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ ก็คือ  พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พรบ.อุ้มหาย ซึ่งเป็นคดีเเรกประวัติศาสตร์  คดีนี้มีอัยการเข้าไปร่วมในการทําหน้าที่ในการตรวจสอบกํากับการสอบสวน เเละมีตัวแทนของทีมสืบสวนสอบสวนของสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่ตั้งขึ้นมา คดีนี้ได้มีการดําเนินคดีกับ พล.ต.ต.กัมพล อดีตผบก.ภ.จว.ชลบุรี กับพวก ซึ่งมีตํารวจที่เกี่ยวข้องในบางหน่วย คือตํารวจ สอท.หรือตำรวจไซเบอร์ เเละมีพลเรือนเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

คดีนี้เป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่ ผบ.ตร. ในขณะนั้นได้ทําหนังสือแจ้งมาทางอัยการสูงสุดมอบหมายให้ตนเข้าไปเป็นหัวหน้าคณะในการตรวจสอบกํากับการสอบสวนแล้วก็ตั้งทีมอัยการเข้าไป 10 คนด้วยกัน ทางผบ.ตร.ก็ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นใหม่ มีประมาณทั้งหมดเกือบ 100 คน มีระดับนายพลตํารวจประมาณ 10 กว่าคน

 

มี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของตํารวจ ใช้ระยะเวลาสืบสวนสอบสวนคดีนี้ 1 ปีเศษ ในการสรุปสํานวนเนื่องจากคดีมีเอกสารจำนวนมากเเละเราให้โอกาสผู้ต้องหา ร้องขอความเป็นธรรม เรียกว่าอยากให้ทีมเราสอบใครเพิ่มเติมให้สามารถร้องขึ้นมาได้ และผู้ต้องหาก็ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด โดยอ้างพยานหลักฐาน ซึ่งทางชุดเราก็ได้ไปสอบสวนให้หมด ไม่ว่าจะอ้างพยานหลักฐานจังหวัดใด เราสอบให้หมด จนกระทั่งสรุปสํานวนก็นํามาปรึกษาหารือกับ นายสุรพันธ์ กิจพ่อค้า อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ตามระเบียบการสอบสวนคดี วันนี้ก็เลยได้ข้อสรุปในสำนวน

ตำรวจและอัยการ ร่วมทำสำนวนคดี

โดยเรามีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 31 ราย มีตัว 30 ราย โดยมี นายพิสิษฐ์ หรือต้น  หลบหนี 1 ราย เเละสั่งไม่ฟ้อง 3 ราย ในส่วนที่สั่งฟ้องวันนี้เป็นตํารวจ 19 รายพลเรือน 12 ราย ผู้ต้องหาที่หลบหนีเราดำเนินการขอศาลออกหมายจับเเล้ว ส่วนคนที่สั่งไม่ฟ้อง 3 ราย คือ (พ.ต.อ.ณรงทธิ์ฯ, รต.อ.กฤติภาสฯ, นายนันทวัฒน์ฯ) ซึ่งเราพิจารณาสํานวน โดยรอบคอบเเล้วว่า ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 ได้กระทําความผิดเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง วันนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดมา 30 คน ทางอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริตฯ นัดฟังคําสั่งวันที่ 26  ก.ย. 2567 เวลา 10.00 น.

 

โดยหากพนักงานอัยการคดีปราบทุจริตฯ สั่งฟ้องก็จะต้องนําตัวไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

 

เมื่อถามว่าคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นใคร  นายวัชรินทร์ กล่าวว่า พล.ต.ต.กัมพล อดีตผู้การชลบุรี กับพวก  โดยข้อหาที่กลุ่มของผู้ต้องหาชุดของผู้การจังหวัดชลบุรีถูกดําเนินคดี ก็คือเรื่องของการจับกุมที่เป็นการจับกุมนายเป้ คือมีการเรียกรับเงินตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบกับ พรบ.ปปช. เเละ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565  มาตรา 7  ก็คือมีการจับผู้ต้องหาได้ ต้องนําส่งพนักงานสอบสวนในท้องที่ แต่ถ้าไม่ได้นําส่งก็จะถือว่ามีความผิดตามมาตรา 7 แห่ง พรบ.ฉบับนี้ชุดของทีมตํารวจชลบุรีโดนข้อนี้

 

ส่วน บอย พัทยา กับต้น พัทยาถูกดําเนินคดี ฐานอื่นด้วย คือแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา145 เเละพรบ.อุ้มหาย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ถือว่าพลเรือนเป็นผู้สนับสนุนเเต่ถือว่าเป็นตัวการร่วมเลย

 

ส่วนผู้ต้องหาอีกชุด เป็นชุดของตํารวจไซเบอร์ เราพิจารณาดูแล้วเป็นความผิดตามมาตรา 157 คือการเข้าไปตรวจค้นจับกุมในบ้านของนายเป้ โดยที่ปล่อยให้พลเรือนเข้าไปร่วมในการตรวจค้น เเต่ตํารวจไซเบอร์ 2 คน ที่โดนข้อหาดังกล่าว ไม่ได้ตามไปที่จังหวัดชลบุรีด้วย และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียกรับหรือยอมรับจะรับ จึงไม่โดนข้อหาตามมาตรา149  เเละ พรบ.อุ้มหายฯ

 

เมื่อถามต่อว่า ตำรวจถูกดำเนินคดีจำนวนมากขนาดนี้ มีการวิ่งเต้นคดี หรือมีการข่มขู่ เเละกลัวการถูกปองร้ายหรือไม่ นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ไม่มี ทางตํารวจก็คงเข้าใจว่านี่คือการทํางาน สมมุติว่ามาข่มขู่ชุดเรา เเล้วชุดเรากลัว เราถอนตัว ก็ต้องมีชุดใหม่เข้ามาอยู่ดี ส่วนวิ่งเต้นก็คงไม่กล้ามาวิ่งเต้น เพราะว่าที่เขาโดน ก็หลายข้อหาแล้ว ถ้าจะมาวิ่งเต้นอีก ก็จะโดนข้อหาแถม ส่วนเรื่องกลัวตายตนไม่กลัวเพราะว่าคนเราเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว คดีก่อนหน้านี้เสี่ยงภัยมากกว่านี้ก็ทํามาแล้วใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ลงไปทํามา แล้วเรื่องกลัวตายไม่กลัว ในคดีนี้เราไม่มีการกันใครเป็นพยาน เราพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่จําเป็นต้องกันเป็นพยานเราก็ดําเนินคดีแจ้งข้อหา

 

เมื่อถามว่า ผู้ต้องหา 3 คน ที่เห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง เพราะเหตุใด รองโฆษกอัยการ ระบุว่า เหตุผลก็คือ คนแรกเป็นรองผู้การจังหวัดชลบุรี เขาไม่ได้มาเกี่ยวข้อง ตอนเรียกรับไม่ได้ไปร่วมจับกุม แต่เเค่ได้รับผิดชอบโดยอดีตผู้การบอกว่าคนนี้จะเป็นคนดูเรื่องสํานวนให้นะ เรียกว่าเขาเข้ามาทําสํานวนเฉยๆไม่เกี่ยวข้องเลย ครับส่วนคนที่สองก็ถูกกล่าวหาเป็นร้อยตํารวจเอกเขาไปตรวจค้นแล้วเขาไม่ได้ไปร่วมไปถึงจุดที่มีการเรียกรับเงิน แล้วคนที่ 3  เป็นการดำเนินคดีผิดตัว เพราะชุดดําเนินคดีชุดแรกแจ้งว่าเป็นนายนันทวัฒน์ ซึ่งอยู่ในจุดที่มีการกักตัวนายเป้ ปรากฏว่าเราตรวจสอบให้ความเป็นธรรมเต็มที่ เพราะเขาก็ร้องมาว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ เขาบอกพิกัดของเขาก็อยู่ที่อื่น เราก็ให้ความเป็นธรรมไม่ได้จับคนที่ไม่มีพยานหลักฐานอย่างชัดเจน เราสืบจน 100% เลยเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง

 

เมื่อถามว่านายบอย พัทยา ให้สัมภาษณ์ว่าที่โดนคดีนี้เพราะว่ามีนายพลคนดังกลั่นแกล้ง ตรงนี้ได้ให้ถ้อยคำประเด็นนี้ในสำนวนหรือไม่

 

นายวัชรินทร์ กล่าวว่าไม่มีเรื่องนายพลคนดัง นายพลคนดังกล่าวเป็นใครก็ไม่ทราบ มีแต่เขาร้องขอความเป็นธรรมว่าเขาไม่ได้ร่วมกระทําความผิด ถ้าเขาโดนกลั่นเเกล้ง ตนก็ยังบอกเลยว่า ยินดีที่จะเอาพยานหลักฐานว่าใครกลั่นแกล้งอะไรให้เอาเข้ามาสํานวนได้เลย

 

ตนใช้คําว่าเปิดกล่องตลอดเวลา ให้เอาหลักฐานมาให้เราเลย สอบอะไรได้ก็สอบ ไปสอบให้ถึงจังหวัดชลบุรีตามที่นายบอย พัทยา อ้าง เราไปสอบให้ ทําครบหมดเลย

 

ด้าน นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3  ซึ่งได้รับเเต่งตั้งเป็นเจ้าของสำนวน กล่าวว่า ตนเขื่อมั่นชุดพนักงานสอบสวน เเละสํานักงานการสอบสวนของอัยการ ว่าได้สอบสวนต่อค่อนข้างจะครบถ้วน แต่ในส่วนของสำนักงานปราบทุจริต อัยการขออนุญาตพูดแทนท่านอธิบดีฯว่าเราก็ต้องมาพิจารณาเริ่มกันใหม่ ให้ความเป็นธรรม เพราะว่าบางทีผู้ต้องหาหรือผู้กล่าวหาเขาอาจจะมีข้อมูลอะไรที่ยังซ่อนอยู่และถูกพิจารณาครบถ้วนหรือไม่ อันนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องดู

 

ถามว่า หนักใจที่ทำคดีมีตำรวจเป็นผู้ต้องหาจำนวนมากหรือไม่ นายรชต กล่าวว่า เราไม่หนักใจ สำนักงานเรารับคดีตํารวจเป็นผู้ต้องหาเป็นหลักอยู่แล้ว ทำมาจำนวนมากเราก็รับทําเต็มที่อยู่แล้วที่ผ่านมาคดีสำคัญอย่างคดี ผกก.โจ้ ตนก็ทำมาเเล้ว

 

ด้าน นายวีระ หรือ บอย หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีนี้ เปิดเผยว่า ในคดีของตนมองว่าข้อกฎหมายของประเทศไทยเป็นการกล่าวหาไว้ก่อน แล้วค่อยมาต่อสู้ หรือชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง ซึ่งตนส่งเอกสารและพยานหลักฐานไปหมดแล้ว หลังจากนี้ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย

 

ความจริงก็คือความจริง ส่วนวันนี้ดีใจที่คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยรอดหมดแล้ว ที่ผ่านมาคนกลุ่มนั้นถูกกลั่นแกล้ง ถูกจับใส่กุญแจมือเข้าห้องขัง ยึดของกลางรวมถึงโทรศัพท์ ถือว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย และตอนนี้ของกลางก็ยังไม่ได้คืน ซึ่งตำรวจอ้างว่าหายและไม่มีใครติดตามหรือช่วยเหลือคดี

 

ยืนยันว่าตนไม่เคยมีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เคยแตะตัวนายเป้ และไม่เคยกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วยเพราะตนเป็นสายลับคอยให้ข้อมูลกับตำรวจว่า ใครทำเว็บพนันบ้าง ซึ่งข้อมูลที่ให้กับตำรวจตนไม่รู้รายละเอียดเชิงลึก แต่มีการพูดต่อๆ กันมา ส่วนตำรวจจะไปสืบสวนวิธีการแบบใดนั้น ตนไม่ทราบ แต่ยอมรับว่ามีการไปชี้เป้าที่บ้านจริง แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมจับกุมด้วย ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่าตนไปล็อบบี้คดี ปฏิเสธว่าไม่มี

 

ส่วนความสนิทสนมของตนกับนายตำรวจชั้นผูัใหญ่ ยอมรับว่าเคยดูแลนายพลระดับสูงที่เป็นคนดำเนินคดีกับตนเอง เนื่องจากตนทำธุรกิจท่องเที่ยวจึงมีการอำนวยความสะดวกให้นายพลระดับสูงและพรรคพวก ระหว่างท่องเที่ยว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ลูกน้องใคร และไม่เคยทำหน้าที่พ่อบ้านรับเคลียร์หรือเคลียร์หน้าเสื่อให้กับใคร