ข่าว

ขอสภาจับ สส.เพื่อไทย เหตุ 20 ปี “คดีตากใบ” ใกล้หมดอายุความ พร้อมออกหมายจับ 6 บิ๊ก

อีกแค่ 43 วันหมดอายุความ 20 ปี “คดีตากใบ” เร่งขอจับ สส.เพื่อไทย พร้อมออกหมายจับระดับ บิ๊กทหาร - ตำรวจ 6 คน

12 ก.ย. 2567  ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ศาลนัดสอบคำให้การ คดี อ578/2567  ที่นางสาวฟาตีฮะห์ ปะจูกูเล็ง ผู้แทนนายอาแวเลาะ ปะจูกูเล็ง ผู้ตายที่ 1 กับพวกรวม 48 คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตเเม่ทัพภาค 4 กับพวก รวม 9 คน จำเลยฐานความผิด ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย , พยายามฆ่า , หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง , ข่มขืนใจ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ

 

จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส หรือคดีตากใบ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 78 คน

 

คดีนี้ศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่ามีมูลมีคำสั่งประทับฟ้อง ในส่วนจำเลยที่ 1,3-6 และ 8,9 มีมูลความผิดในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย หน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงเเก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,83 มาตรา 310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 290 , 83 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

เเละให้ยกฟ้อง ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นรับอันตรายสาหัสโดยกระทำทารุณโหดร้าย  และยกฟ้องจำเลยที่ 2 เเละ 7

 

โดยนัดสอบคำให้การจำเลยที่ 1, 3-6 , 8 , 9 เเละตรวจพยานหลักฐานเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานวันนี้ โจทก์ที่ 1,3-19,21-29,31-33,35-38,41-47

 

 

ทนายโจทก์ทั้ง 48 คน ทนายโจทก์ที่ 1 , 2 , 3 , 5 , 6 , 8 , 37 , 26 และพนักงานอัยการในฐานะทนายจำเลยที่ 8 , 9 มาศาล  ส่วนจำเลยที่ 2 , 7 ศาลมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วไม่มา

 

ศาลรอจนกระทั่งเวลา 10.30 น. จำเลยที่ 1 , 3 , 6 , 8 , 9 เเละทนายจำเลยที่ 1, 8 , 9 เเละทนายจำเลยที่ 2 , 4 , 5 ทนายจำเลยที่ 3 , 6 , 7 ไม่มา

 

ศาลสอบพนักงานอัยการในฐานะทนายจำเลยที่ 8 และที่ 9 แถลงว่า หลังจากศาลมีคำสั่งว่าคดีมีมูลก็ไม่ได้รับการติดต่อจากจำเลยที่ 8 และที่ 9  อีกเลย ศาลให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อทนายฝ่ายจำเลยตามหมายเลขที่เคยให้ไว้ ได้ความในลักษณะเดียวกันว่า หลังจากศาลอ่านคำสั่งว่าคดีมีมูลในนัดที่แล้วก็ไม่ได้รับการติดต่อจากตัวความอีกเลย จึงไม่ทราบความประสงค์ว่าจะให้เป็นทนายความในคดีต่อไปหรือไม่ และจะให้การอย่างไร

 

พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี มีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9 เพื่อนำตัวมาศาลภายในอายุความ 20 ปี นับแต่วันกระทำ ความผิด คือ ภายในวันที่ 25 ต.ค. 2567

 

ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรัฐธธรรมนูญ มาตรา125 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ สมาชิกวุฒิสภาไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับในขณะกระทำความผิด" เมื่อขณะนี้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2667 เป็นต้นไป จำเลยที่ 1 จึงได้รับความคุ้มกันตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว ศาลไม่มีอำนาจออกหมายจับ จึงให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

 

1.มีหนังสือด่วนที่สุดถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎรอนุญาตให้จับจำเลยที่ 1 โดยให้ถ่ายสำเนาคำฟ้องคดีนี้ คำสั่งคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ578/2567 (คดีนี้) และรายงานกระบวนพิจารณาฉบับนี้อย่างละ 1 ฉบับ รับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับแนบไปด้วย

 

2.หมายเรียกจำเลยที่ 1 มาศาลในนัดหน้า

 

3.มีหนังสือด่วนที่สุดถึงจำเลยที่ 1 แจ้งว่า ศาลนี้ได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรคหนึ่ง และขอเชิญให้จำเลยที่ 1 แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสละความคุ้มครอง และมาศาลในนัดหน้าเพื่อเข้าสู่การพิจารณาคดีนี้

 

การส่งหนังสือตามข้อ 1 ให้ส่งผ่านทางสำนักงานศาลยุติธรรม การส่งหมายเรียกตามข้อ 2 ให้ส่งทางเจ้าพนักงานศาล ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดและมีผลทันทีทางหนึ่งกับส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับอีกทางหนึ่ง เป็นหมายศาล และการส่งหนังสือตามข้อ  3 ให้ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับอย่างหนังสือราชการของศาลนี้

 

การดำเนินการตามหมายจับในส่วนของจำเลยที่ 3-6 , 8,9 ให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้จัดการตามหมายจับ และเห็นสมควรให้พนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจเป็นผู้จัดการตามหมายจับด้วย โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้สนับสนุน ตาม พรบ.เจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 มาตรา 5 (5)

 

ให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การจำเลยที่  1 ที่ 3- 6 และที่ 8 กับที่ 9  ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยาน กับติดตามผลการจับกุมจำเลยที่ 3 - 6,8,9 และฟังผลการขออนุญาตจับกุมจำเลยที่ 1 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 15 ต.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ปิดประกาศที่หน้าศาล แจ้งวันนัดให้คู่ความทราบที่ไม่มาศาลทราบ

 

สำหรับคดีนี้จำเลยที่ถูกยื่นฟ้องทั้ง 9 คน ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย , จำเลยที่ 2 พล.ท.สินชัย นุตสถิตย์  อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 (ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) , จำเลยที่ 3 พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ยศในขณะนั้น อดีตผู้บัญชาการพล. ร. 5 , จำเลยที่ 4 พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า และเป็นอดีต สว. ,

 

จำเลยที่ 5 พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ยศขณะนั้นในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อดีต สว. , จำเลยที่ 6 พล.ต.ต.ศักดิ์สมหมาย พุทธกุล อดีตผู้กำกับ สภ.อ.ตากใบ ในขณะนั้น , จำเลยที่ 7 พ.ต.อ.ภักดี ปรีชาชน อดีตรองผู้กำกับ สภ.อ.ตากใบ ปัจจุบันเป็น รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี (ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) , จำเลยที่ 8 นายศิวะ แสงมณี ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย , จำเลยที่ 9 นายวิชม ทองสงค์ ในเวลานั้น เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส