“สิบเอก” คลั่งยิงใส่โรงเรียนโสตศึกษา เป็นทหารค่ายสุรนารี ขณะก่อเหตุถูกพักราชการ
กองทัพภาคที่ 2 ยอมรับ “สิบเอก” คลั่ง สาดกระสุนใส่โรงเรียนโสตศึกษา เป็นทหารค่ายสุรนารี ถูกพักราชการ เหตุเคยก่อคดีมาก่อน ลั่นพบความผิดฟันวินัย-อาญา
9 ต.ค. 2567 กรณี ส.อ.พลังรัฐ ทหารคลุ้มคลั่ง ก่อเหตุยิงใส่โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดชัยภูมิ ต.บ้านเล่า อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่สามารถล้อมจับ ส.อ.พลังรัฐ ได้ในเวลาต่อมา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ล่าสุด กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่จับกุม ส.อ.พลังรัฐ ทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 2 หลังก่อเหตุยิงปืนใส่บ้านพักครูที่กำลังก่อสร้างอยู่ติดหอพักนักเรียนภายในโรงเรียนโสตศึกษา จ.ชัยภูมิ เป็นเหตุให้ช่างก่อสร้างบาดเจ็บ ว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้ก่อเหตุ คือ สิบเอก พลังรัฐ เป็นข้าราชการทหาร สังกัด กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา จริง
ระหว่างก่อเหตุ สิบเอก พลังรัฐ อยู่ระหว่างถูกพักราชการ ตั้งแต่ 13 ต.ค. 65 ความผิดฐานเป็นข้าราชการมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติด ประเภท 1 โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90 , 145 วรรคหนึ่ง และ 180 คดีอยู่ระหว่างฎีกาต่อศาลทหารสูงสุด
ต่อมา 11 พ.ย. 66 สิบเอก พลังรัฐ ได้กระทำความผิดอาญา ฐานพาอาวุธติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร , บุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธโดยใช้กำลังประทุษร้าย , ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำให้เสียทรัพย์ คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ และได้รับการประกันตัวต่อสู้คดี
และเมื่อ 8 ต.ค. 67 ได้ก่อเหตุยิงปืนใส่โรงเรียนโสตศึกษา เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย มีอาวุธปืนส่วนตัวในครอบครอง 3 กระบอก และมีเหตุจูงใจเกิดจากปัญหาความเครียดทางครอบครัว
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าคลี่คลายสถานการณ์ และระงับเหตุได้อย่างรวดเร็ว และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและญาติของผู้ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นหน่วยได้ให้จัดผู้แทนเดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ทีโรงพยาบาล และพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีทางกฎหมาย
ซึ่งที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกระดับ ให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม และห้ามมิให้กำลังพลกระทำความเสื่อมเสีย อันเข้าข่ายผิดกฎหมายและผิดวินัยทหารอย่างร้ายแรง หากผลสอบสวนพบว่ามีความผิดจริง จะถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและทางคดีอาญาอย่างถึงที่สุดต่อไป