ข่าว

'จิราพร' ตั้งคณะกรรมการ สอบปม 'เทวดา สคบ.' รับส่วย ขีดเส้น 30 วัน รู้ผล

'จิราพร' ตั้งคณะกรรมการ สอบปม 'เทวดา สคบ.' รับส่วย ขีดเส้น 30 วัน รู้ผล

15 ต.ค. 2567

'จิราพร' ตั้งคณะกรรมการสอบปม 'เทวดา สคบ.' รับส่วย ขีดเส้น 30 วัน รู้ผล ขณะที่ สคบ. จะเรียกผู้บริหารบริษัท - ดารา เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง พรุ่งนี้ (16 ต.ค. 67) พร้อมสั่งยึดคืนโล่แล้ว

15 ต.ค. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการร้องเรียน บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งมีการเผยแพร่คลิปเสียง ระบุ มี "เทวดา" ที่ สคบ. เรียกรับผลประโยชน์

\'จิราพร\' ตั้งคณะกรรมการ สอบปม \'เทวดา สคบ.\' รับส่วย ขีดเส้น 30 วัน รู้ผล

ขณะนี้มีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ว่า เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมมากที่สุด ในการตรวจสอบประเด็นนี้ จะมีการเชิญคนนอกเข้ามาเป็นคณะกรรมการในการตรวจสอบ โดยได้ประสานบุคคลที่มีชื่อเป็นคณะกรรมการครบแล้ว

 

แต่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหลายอย่าง โดยมีการพาดพิงหน่วยงาน และบุคคลภายนอกด้วย เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพ จึงต้องยกระดับการตรวจสอบ เสนอให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูล รวมถึงหน่วยงาน และบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมด้วย

 

สำหรับโครงสร้างของคณะกรรมการ ในโครงสร้างใหญ่ จะมีตัวแทนอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และตัวแทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับรายชื่อคนนอก ต้องรอการลงนามให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงสามารถเปิดเผยชื่อได้ ทั้งนี้ในการตรวจสอบขีดเส้นไว้ ไม่เกิน 30 วัน

 

 

สำหรับชื่อแคนดิเดต เลขาธิการ สคบ.อย่าง พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองเลขาธิการ สคบ.จะมีการตรวจสอบอย่างไรบ้าง นางสาวจิราพร กล่าวว่า คณะกรรมการ ที่ตั้งขึ้นมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้น ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ก็ต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

\'จิราพร\' ตั้งคณะกรรมการ สอบปม \'เทวดา สคบ.\' รับส่วย ขีดเส้น 30 วัน รู้ผล

สำหรับกรณีปรากฏภาพนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ก่อตั้งบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สคบ.จำนวนมากนั้น นางสาวจิราพร ชี้แจงว่า ในส่วนนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการ และนำคนนอกมาสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในอนาคต โดยคณะกรรมการชุดนี้จะให้ข้อเสนอแนะ และนโยบาย เพื่อการแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป

 

ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่รับผลประโยชน์ จะมีการสอบสวนในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ นางสาวจิราพร ระบุว่า จะมีการสอบสวนรวมประเด็นทุกอย่างที่เป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน เนื่องจากคณะกรรมการมีหน้าที่ศึกษาข้อเท็จจริง และจะมีการตรวจสอบทั้งหมด ทั้งเรื่องคลิปเสียง และกรณีอื่นๆ

 

นางสาวจิราพร กล่าวต่อว่า วันที่ 16 ต.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ทาง สคบ.ได้เรียกผู้บริหารบริษัท และดารา เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูล ซึ่งผลการสอบ จะต้องมีการส่งไปให้ สตช. เพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งทาง สตช.แจ้งว่า มียอดผู้ร้องทุกข์เข้ามาทะลุพันคน เป็นจำนวนความเสียหาย 380 ล้านบาท อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน พยานบุคคล วัตถุ เอกสาร เพื่อให้เกิดความรัดกุมที่สุด ในการตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งจะเน้นไปที่เรื่องพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ในประเด็นการโฆษณาต่างๆ 

 

ส่วนกรณีผู้เสียหายบางคน ที่กังวลเรื่องการสืบทรัพย์เพื่อเยียวยา นั้น นางสาวจิราพร กล่าวยืนยันว่า ไม่ต้องกังวล ในเรื่องที่จะได้รับการ

เฉลี่ยทรัพย์ เพราะหากตำรวจได้ข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหาที่ชัดเจน แล้ว จะส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง ปปง. และหากเกี่ยวข้องกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ก็จะส่งเรื่องต่อไปให้เช่นเดียวกัน ย้ำว่า ทุกหน่วยงานกำลังรวบรวมสรรพกำลังในตอนนี้ เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงให้กับประชาชน

 

นางสาวจิราพร ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหามาตรการป้องกันในระยะยาว ซึ่ง สตช.เอง ก็เป็นศูนย์กลางในการรับเรื่องร้องเรียนในการสอบสวนข้อเท็จจริงกับหน่วยงานอย่าง สคบ. และกระทรวงการคลังที่ดูแลเรื่องแชร์ลูกโซ่ ให้ไปดูกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

 

ส่วนกรณีมี พระภิกษุสงฆ์ เกี่ยวข้องด้วย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะต้องช่วยมาดูแลในประเด็นนี้อย่างไร นางสาวจิราพร กล่าวว่า  เข้าใจความกังวลของประชาชน ซึ่งพระสงฆ์ จะต้องเข้าให้ข้อมูลด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

สำหรับกรณีการมอบโล่ให้บริษัทดังกล่าว จากการสืบสวนข้อเท็จจริงของ สคบ.พบว่า มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ ยืนยันว่า โล่ นี้ เป็นรางวัลเกี่ยวกับสาธารณะประโยชน์ ไม่ใช่การประกอบธุรกิจ ซึ่ง สคบ.ได้มีการส่งหนังสือแจ้งเรียกคืนเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะมีความผิดเพิ่มเติมหรือไม่ คณะกรรมการจะสืบสวนข้อเท็จจริงต่อไป