แฉเพิ่ม! บ้านแชร์น้องแครอท ไม่ได้มีแค่ พระสงฆ์ เสียหายกว่า 5 พันล้านบาท
แฉเพิ่ม! บ้านแชร์น้องแครอท ไม่ได้มีแค่ พระสงฆ์ ผู้เสียหายโผล่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าความเสียหายที่ตรวจสอบได้กว่า 5,000 ล้านบาท
จากกรณีเพจเฟซบุ๊กชื่อ อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ โพสต์ภาพ พระสงฆ์ ระบุว่า ถูกหลอกลงทุนเทรด พร้อมข้อความระบุว่า "บ้านแชร์น้องแครอท...ล้มแล้ว !! แชร์ลูกโซ่ของสงฆ์อีสาน...ผู้เสียหายส่วนใหญ่คือพระสงฆ์เกือบทั้งหมด หลังหลอกพระสงฆ์ที่อยู่ในภาคอีสานเข้าร่วม ลงทุนเทรด กับบริษัทขายฝันอ้างไม่เกิน 5 ปี ได้บ้าน ได้รถตอนนี้มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 1,000 ล้านบาท.…" ซึ่งภายในภาพยังมีป้ายที่ระบุสถานที่ว่ามีการจัดโครงการปฏิบัติธรรมภายในรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ จ.ขอนแก่น ด้วย
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยและหลักฐานเป็นคลิปเจ้าของโบรกเกอร์ ที่ พระสงฆ์ ถูกหลอกร่วมลงทุนเทรดตามที่มีการเปิดเผยเรื่องราวในโซเชียลมีเดีย แต่คลิปดังกล่าวนั้น เป็นบรรยากาศขณะที่ ดร. ภ. เจ้าของ โบรกเกอร์ ทำการบรรยายชักชวนลงทุนเทรด บอกว่ามีผลตอบแทนมหาศาล ถ้าลงทุนไม่ถอนทิ้งไว้ 10 ปีก็จะมีเงินสูงถึง 300 ล้านบาท ซึ่งมีเข้าร่วมประชุมทำการอัดคลิปวีดีโอเอาไว้ และมอบให้กับตัวแทนผู้เสียหายนำไปเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความเอาผิดเนื่องจากไม่สามารถถอนเงินคืนได้ตั้งแต่ปี 2565 พร้อมกันนี้ผู้เสียหายยังได้ส่งภาพขณะที่ ดร. ภ. เปิดอบรม และเปิดโครงการต่างๆ ที่มีพระสงฆ์เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ปรากฎคลิปหลักฐานที่เป็นคำพูดชักชวนพระสงฆ์ลงทุนเทรดในแพลตฟอร์มโบรคเกอร์ดังกล่าว
นายสุพจน์ ดำรงต์เลิศตระกูล ตัวแทนผู้เสียหาย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า กรณี แชร์แครอท ล้มนั้น ผู้เสียหายไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์ แต่มีผู้เสียหายจากหลายๆ จังหวัดที่มาปรึกษาทางกฎหมายกับตนเอง เป็นเรื่องของการเทรดค่าเงิน ซึ่งข้อมูลของเรามีความพร้อมตั้งนานแล้ว และได้ส่งข้อมูลแจ้งความกับทางทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ไปทั้งหมดแล้ว กระทั่งมีการตรวจสอบพบว่าเป็นการหลอกลวงเทรดฟอเรกซ์เหมือนการหรอกฟอเรกซ์อื่นๆ ที่มีการตรวจสอบพบดำเนินการเอาผิดมาก่อนหน้านี้ โดยผู้เสียหายหลายคนมาร้องเรียนให้ช่วยเรื่องทางกฎหมายกับเราเพราะเรามีสำนักงานด้านฝ่ายกฎหมายคอยช่วยเหลือประชาชนด้วย
จากการหาข้อมูลหลักๆ ทราบว่า ขอนแก่นนั้นเป็นแหล่งที่มาของโบรกเกอร์ มีสำนักงานตั้งอยู่ในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ปัจจุบันทราบว่าขายให้กับเจ้าของคนใหม่ไปแล้ว โดยสร้างแพลตฟอร์มปลอม ว่ามีการเทรด Forex จริงในตลาดเทรด ในการเข้าลงทุน จะมีการสร้างเครือข่ายการระดมทุนให้คนเข้า Copy Trade , Trade เองในตลาด แต่เป็นแพลตฟอร์ม Forex ปลอมไม่มีการเทรดจริง ใช้การระดมคนเข้าเทรดโดยมีโบรกเกอร์ที่แจ้งว่า สามารถรับการเทรดเงินสกุล ดอลล่าได้ แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ได้รับการรับรองให้เทรดได้
โดยแต่ละโบรกเกอร์จะเชื่อมกับต่างประเทศ และกฎหมายของประเทศไทยมีการแจ้งเตือนมาแล้วจะไม่มีที่ไหนเทรดได้นอกจากกลุ่มธนาคาร กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ หรือกลุ่มไฟแนนซ์ต่างๆ นอกนั้นไม่สามารถทำได้ ซึ่งแกนนำและวิทยายกรบางคนที่รู้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลได้ถอนตัวออกมาและมาให้ข้อมูลกับเราพร้อมหลักฐานที่เป็นความจริง และในช่วงแรกที่มีผู้เสียหายมาปรึกษาตนเอง 3 คน ในช่วงแรกมีการเข้าแจ้งความ
จนทาง เจ้าของโบรกเกอร์ โทรศัพท์ติดต่อมาหาตนเอง ขอรายชื่อคนที่ไปแจ้งความเพื่อจะขอจ่ายเงินคืน และก็ได้เงินคืนทันทีทั้งหมด ทั้งพยาบาล ทั้งอาจารย์ รายละ 300,000-900,000 บาท แต่เป็นการจ่าเงินคืนแบบโอนให้ผ่านบุคคล ไม่ใช่มาจากระบบการเทรด ซึ่งความเป็นจริงระบบนี้จะต้องมีการจ่ายมาจากต่างประเทศ หลังจากนั้นผู้เสียหายหลายคนกว่า 100 ราย เมื่อทราบว่าได้เงินคืนก็พากันเข้ามาพบตนเองให้ช่วยประสานงานทางกฎหมายให้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้เพียงประสานงานต่อไปให้ทาง DSI สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กระทั่งมีข่าว แชร์แครอท ที่ปรากฎในสื่อต่างๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่การเล่นแชร์แต่เป็นการเทรดลงทุนที่หลอกลวงขึ้น
ซึ่ง ดร. ภ. นั้น เคยบวชเรียนมาก่อน จะมีการอบรมที่ มจร. หลายๆ จังหวัดในภาคอีสาน และมีการจัดกิจกรรมโครงการคล้ายกับอคาเดมี่พระสงฆ์มาอบรมหลายรูป และจะเชิญชวนให้อยากลงทุนเทรดให้ได้รับผลกำไร และทีมงานส่วนใหญ่จะเป็น ดร. และเรียนมาทางสายโรงเรียนยวัดหรือทางมหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ การที่ให้พระมาอบรมหรือมีโครงการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ข้อมูลที่ตนเองมีคือแผนการในการรวมพระสงฆ์มารับข้อมูลจูงใจให้ร่วมลงทุนเทรด เพราะทุกๆ การจัดโครงการหรือการอบรมมักจะได้เงินจากพระมาลงทุนตลอด และไม่ใช่เฉพาะพระ แต่มีบุคคลอื่นๆ ในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นข้าราชการครูเกษียณระดับผู้อำนวยการ บางรายมีนามสกุลดังระดับประเทศ แต่บางราไม่กล้าเปิดเผยไม่กล้าเอาเรื่องต่อเพราะกลัวครอบครัวรู้ว่าเอาเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนต่อ หมดไปเกือบล้านก็มี
จากข้อมูลการตรวจสอบของทาง DSI พบว่ามีผู้เสียหายที่มียูเซอร์ในระบบรวมๆ แล้วกว่า 2 พันราย และแต่ละรายจะมีการลงทุนคนละ 1 พรอต โดย 1 พรอตเท่ากับ 10,000 เหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยจำนวน 316,000 บาท มูลค่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกับผู้เสียหายที่ยังตรวจสอบไม่ได้ กระทั่งเรื่องดังกล่าวนี้ทาง DSI คนที่ทำคดีระดับ ผอ.จู่ๆ ถูกย้ายไปและเรื่องก็เงียบไปพร้อมกัน
กระทั่งมีผู้เสียหายออกมาร้องกับทาง เพจอีซ้อ และ อี้ แทนคุณ ให้ผลักดันเรื่องนี้ให้มีการตรวจสอบขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังเงียบไปเกือบ 1 ปี และที่ผ่านมาตนเองก็ยังเคยถูก ดร. ภ. ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งเราได้มีการโพสต์เตือนภัยไปในโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่สุดท้าย ดร. ภ. ได้ขอถอนฟ้องไป โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเป็นคดีด้วย และขอยุติเรื่องนี้ ซึ่งเรายืนยันว่าเราไม่ได้กล่าวหาใคร
รวมทั้งมีแถลงการณ์ของโบรกเกอร์ ออกมาถึงผู้เสียหายว่าอย่าดำเนินคดีกับทางโบรกเกอร์ เพื่อจะได้มีเงินมาคืน พร้อมกันนี้ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับผู้เสียหาย 2 คน(เบลอหน้า) ซึ่งมีทั้งจากทางภาคเหนือ และ ภาคอีสาน ซึ่งทั้งสองให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวตรงกันว่า เริ่มเข้าไปลงทุนจากการชักชวนของคนใกล้ตัวที่ทราบว่ามีการลงทุนรับผลตอบแทนแบบการเทรดเงิน
โดยการทำงานของโบรกเกอร์นี้ จะมีการตั้งแผนธุรกิจให้กับแม่ทีมต่างๆ แบบลักษณะแชร์ลูกโซ่ว่า ถ้าหาลูกค้าเข้ามาเทรดหรือนำเงินเข้ามาในระบบได้ จะได้รับเงินค่าชักชวน ให้มีการชวนต่อและมีการนำรถเบนซ์ รถหรูราคาแพงต่างๆ มาเป็นสิ่งจูงใจให้แม่ทีมหาลูกค้านำเงินมาลงทุนมากๆ โดย 1 พรอตเท่ากับ 10,000 เหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยจำนวน 316,000 บาท
โดยลูกทีม คือ ผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกให้เข้ามาลงทุน คิดว่าจะได้กำไรจากการเทรดเอง , Copy Trade สุดท้ายโบรกปลอม ไม่ได้มีการเทรดจริง แต่นำเงินไปใช้ในเรื่องอื่น จึงนำเงินจากคนใหม่มาจ่ายให้คนเก่า สุดท้ายไปไม่ได้เพราะหาเงินจากคนใหม่มาจ่ายคนเก่าไม่ได้ และแม่ทีม ยังทำหน้าที่มีระดมคนให้ไปดำเนินการแปะเทรดระดมทุน คือ ลงเงินขั้นต่ำ 300,000 จะได้รับดอกเบี้ย 6% ทุกเดือน เป็นเวลา 1 ปี จะได้รับเงินต้นคืน แต่สุดท้ายก็ไม่จ่ายเงินให้สักบาท มีคำชักชวนสวยหรูบอกหากลงทุนเทรดไม่ถอน 10 ปีก็จะมีเงิน 300 ล้านบาท
ทั้งยังมีข้อมูลที่สร้างความน่าเชื่อถือจนสามารถหลอกได้สำเร็จทำให้มีคนหลงเชื่อเปิดพรอตเพิ่มอีกมากมายหลายคน และเวลาที่ผู้เสียหายขอถอนเงินแต่ถอนไม่ได้ก็มีการสอบถามแอดมินไป แต่ได้รับตอบว่าหุ้นตก แต่ลักษณะตัวเลขนั้นมีความผิดปกติ เวลาที่ทักท้วงหรือสอบถามไปจะดิ่งลงอย่างเห็นได้ชัด และมาทราบว่าเป็นการหลอกลวงโดยเป็นการกดเอาเองไม่ใช่จากระบบเทรด กระทั่งได้มีการพูดคุยกันกับผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่ลงทุนเทรดเงินเหมือนกันก็เป็นในลักษณะเดียวกัน จนได้ไปปรึกษาและขอความช่วยเหลือจาก นายสุพจน์ เพื่อให้ช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย แต่จนถึงตอนนี้ทางคดีก็เงียบไปและยังไม่ได้เงินคืน ซึ่งผู้เสียหายยส่วนใหญ่ลงทุนไปคนละ 1-6 พรอต พรอตละ 316,000 บาทในขณะนั้น อย่างไรก็ตามหลักฐานที่ปรากฎนั้นยังพบว่าผู้เสียหายยังเป็นในส่วนของฆารวาส ซึ่งมีคลิปหลักฐานในการอบรมและชักชวนลงทุนเทรดโดย ดร. ภ.
แต่ในส่วนของพระสงฆ์นั้นที่ปรากฎภาพการอบรมยังไม่มีคลิปหลักฐานที่เป็นคำพูดของ ดร. ภ. ในการชักชวนพระสงฆ์ลงทุนแต่อย่างใด และเรื่องดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่นและคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองระดับจังหวัด และในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เนื่องจากในช่วงที่มีการดำเนินคดีตรวจสอบจากหลายหน่วยงานตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา ยังพบว่า ดร. ยังคงหลอกชักชวนให้คนมาลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทางผู้เสียหายจึงมีการส่งเรื่องต่อให้กับทาง เพจอีซ้อ และทาง คุณอี้ แทนคุณ เพื่อให้มีการตรวจสอบขึ้นมาหลังจากพบว่า ที่ผ่านมาคดีสำคัญๆ โดยเฉพาะคดีของ ดิไอคอน กรุ๊ป มีการตรวจสอบที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2566 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เปิดให้ผู้เสียหาย ที่ถูกโบรกเกอร์หนึ่ง หลอกลวงโดยการโฆษณาให้ร่วมลงทุน ทำการลงทะเบียนผ่านแบบฟอร์ม Online โดยการสแกน QR CODE หรือผ่านลิงก์ของดีเอสไอ คลิกลิงก์ลงทะเบียน หรือโทรสอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วนดีเอสไอ 1202 เท่านั้น โดยเปิดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2566