ข่าว

ทนายบอสพอล จ่อยื่น DSI สอบพยาน 2,000 ปาก พร้อมออกหมายเรียกอีก 2 แสนราย

ทนายบอสพอล จ่อยื่น DSI สอบพยาน 2,000 ปาก พร้อมออกหมายเรียกอีก 2 แสนราย

31 ต.ค. 2567

ทนายบอสพอล เตรียมบุก DSI สอบพยานฝ่ายบอส 2,000 ปาก ออกหมายเรียกสมาชิกอีก 2 แสนราย พร้อมเอาผิด "เอกภพ-พยานเท็จ" อ้างเตี๊ยมให้การจ่ายสินบน

31 ต.ค. 2567 ภายหลังนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ "บอสพอล" ผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เข้าเยี่ยมลูกความในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้ได้พูดคุยกับบอสพอลและทีมทนายความในคดีเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้คดีของผู้ต้องหา ซึ่งรายละเอียดการพูดคุยเป็นความลับ เพียงแค่พูดคุยกับบอสพอลก็หมดเวลาแล้ว จึงยังไม่ได้พูดคุยกับบอสกันต์และบอสแซม ตามที่ตั้งใจไว้ 

 

ประเด็นหลักที่บอสพอลมอบหมายทำอย่างเร่งด่วน คือ วันพรุ่งนี้ (1 ก.ย.67 ) เวลา 10.00 น.จะเดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อยื่นหนังสือใน 2 ประเด็น คือ 
 

1. สอบถามรายละเอียดการนำพยานฝ่ายตนเองกว่า 2,000 คน เข้าไปให้ปากคำว่า จะต้องไปให้ปากคำที่ ดีเอสไอ หรือ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. รวมถึงสอบถามศักยภาพของเจ้าหน้าที่ว่า ในแต่ละวันจะสอบปากคำพยานได้กี่คน ซึ่งวางแผนไว้ว่า หากสามารถสอบปากคำได้วันละ 120 คน จะให้เวลาเพียง 20 วันในการสอบปากคำ เสร็จทันส่งสำนวน แต่หากรับได้ไม่ถึงจำนวนที่วางไว้ ก็จะใช้เวลาในการสอบปากคำนานขึ้น 

 

นอกจากนี้จะขอให้ ดีเอสไอ ออกหมายเรียกให้สมาชิก ดิไอคอน กรุ๊ป ที่ไม่ยอมเข้ามาแจ้งความกว่า 200,000 คน เข้ามาให้ปากคำด้วย และหากมีหมายเรียกก็ต้องเข้ามาให้ปากคำ 

 

2. ขอให้ ดีเอสไอ พิจารณาดำเนินคดี กับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อต่อเพจสายไหมต้องรอด และพยานที่นายเอกภพพามา กรณีที่นำพยานเท็จเข้ามาพบตำรวจและอ้างว่าดีเอสไอเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เรียกรับเงินจากดิไอคอน กรุ๊ป ทำให้ดีเอสไอได้รับความเสียหาย แต่จะดำเนินคดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของดีเอสไอ

 

นายวิฑูรย์ ยอมรับว่าจากที่ตัวเองได้ฟังเสียงของพยานคนดังกล่าวที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อช่องหนึ่ง รู้สึกตกใจมากที่มีการนัดแนะเตี๊ยมคำให้การกับพยาน โดย ตนไม่เข้าใจว่าทำไม นายเอกภพ ถึงทำแบบนั้น ทำให้จากที่คดี ดิไอคอน กรุ๊ป ควรจะเป็นคดีความปกติ กลับเป็นคดีการจ่ายสินบน เบื้องต้น ตนก็เตรียมให้ทนายอีกชุดไปแจ้งความเอาผิดทั้ง นายเอกภพ และพยานคนดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาทที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 

ตน ยืนยันว่าการที่ออกมาบอกว่าจะแจ้งความกลับกับใครบ้างนั้น ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายปกติ ซึ่งตนทำงานอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ได้ทำงานตามกระแสสังคม ทุกอย่างเป็นการชี้แจงในคดี 

"แนวทางการทำคดีของผม ถ้าผมจะเอากระแสสังคม แล้วคดีผมแพ้ก็ไม่เอา ถ้าผมทำให้คดีชนะ ไม่ว่าคนจะมองผมยังไงก็ตาม  ผมก็มองว่ามีสิทธิที่จะทำ ผมไม่ได้ใช้วิธีการใต้ดินวิ่งเต้น เพราะทนายแต่ละคนก็มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป"

 

เมื่อถามว่า หมายถึงจะเป็นนักรบที่ไม่เลือกวิธีการต่อสู้ใช่หรือไม่ นายวิฑูรย์ กล่าวว่า "ใช่ครับ" คงตอบไม่ได้ว่าจะชนะคดีหรือไม่ เพราะเป็นมรรยาทของทนาย ไม่สามารถคอนเฟิร์มผลคดีได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด 

 

ส่วนที่ ดีเอสไอ ตรวจพบเส้นทางการเงิน บอสพอล โอนเงิน 2.5 ล้านบาท ให้กับแม่ของนักการเมือง ส. นายวิฑูรย์ กล่าวว่า  ตนเองได้สอบถาม กับ บอสพอล แล้ว ยืนยันเป็นการโอนเงินทำบุญ แต่ตนเองไม่แน่ใจยอดเงินว่าโอนครั้งละเท่าไหร่ กี่ครั้ง และตั้งแต่เมื่อไร เนื่องจากยังไม่เห็นเอกสาร แต่ทราบว่ามีการโอนให้บ่อยครั้ง มีทั้งหลักหมื่นและหลักแสนบาท 

 

ส่วนความคืบหน้าเรื่องการขอประกันตัวกลุ่มผู้ต้องหา จะยังไม่ยื่นประกันตัว แม้ทุกคนจะอยากออกมา แต่การต่อสู้คดีภายในเรือนจำนั้น ง่ายกว่าและเป็นที่ที่ปลอดภัย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทนายความ ของผู้ต้องหาแต่ละคนจะพิจารณา

 

ส่วนกรณีของนายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือ บอสวิน ที่มีอาการป่วยโรคมะเร็ง จะต้องมีการพูดคุยกับเจ้าตัวและพิจารณาเรื่องของการยื่นประตัวออกมาเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหากออกมารักษาตัวข้างนอก ครอบครัวอาจจะสบายใจมากกว่า

 

เมื่อถามถึงออเดอร์ดำเนินคดีกับทนายคนดัง นายวิฑูรย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ขอพักไว้ก่อน เพราะเขามีปัญหาเยอะอยู่แล้ว คนล้มอย่าไปกระทืบซ้ำ มองว่าปัญหาที่เขาเจออยู่ก็เหนื่อยเอาการ ต้องชี้แจงหลายอย่าง ส่วนอนาคตจะดำเนินคดีหรือไม่ เดี๋ยวว่ากัน ตอนนี้เห็นทนายคนดังล้มอยู่ก็ไม่อยากซ้ำ แต่หากจะดำเนินคดีคงไม่รอให้คดีอื่นๆ จบก่อน เนื่องจากก็มีหลักฐานเอาผิดได้

 

ส่วนกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ามาพบ โค้ชแล็ป ในเรือนจำพร้อมตำรวจนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ขณะนี้ทราบว่าผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว ยืนยันว่าตนเองจะไม่เอาผิดตำรวจที่เข้าไปร่วมการสอบปากคำในวันดังกล่าว ส่วนตัวของนายอัจฉริยะ ขอให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครพิจารณาว่าจะเอาผิดหรือไม่