จ.ส.ต. เครียด น้อยใจผู้บังคับบัญชา คว้าปืนจ่อขมับตัวเอง เสียชีวิตคาบ้านพัก
จ.ส.ต. เครียด น้อยใจผู้บังคับบัญชา ไม่จ่ายงานให้ทำ เพื่อนร่วมงานไม่คุยด้วย คว้าปืนจ่อขมับตัวเอง เสียชีวิตคาบ้านพัก จ.ยโสธร
พ.ต.ต.วิศาล ศรีแก่นจันทร์ ร้อยเวรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรคำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ได้รับแจ้งว่ามี ตำรวจ ยศ จ.ส.ต. ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านพัก หมู่ 3 บ้านดงเจริญ ต.ดงเจริญ อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุตามที่ได้รับแจ้งพร้อมกับได้ประสานขอเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจและเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุด้วย
โดยในที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียวพบญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านกำลังมุงดูศพของผู้ตายท่ามกลางเสียงร้องไห้ของญาติๆ ระงมไปทั่วบริเวณทราบชื่อผู้ตาย คือ จ่าสิบตำรวจอนุพงศ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านและเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดยโสธร โดยที่บริเวณขมับขวามีรอยกระสุนไม่ทราบขนาดเจาะเข้าและทะลุออกฝั่งซ้าย นั่งฟุบจมกองเลือดอยู่ภายในห้องนอนภายในบ้านพัก ขณะที่มือขวายังกำอาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. อยู่
ญาติได้ช่วยกันนำร่างของผู้ตายออกจากที่เกิดเหตุเพื่อนำส่งโรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว เพื่อชันสูตรตามขั้นตอนแล้วจึงนำศพกลับมาจัดเตรียมประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านพัก ส่วนห้องนอนที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันพื้นที่เอาไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจที่เกิดเหตุพร้อมกับเก็บหลักฐานและหัวกระสุนในที่เกิดเหตุต่อไป ส่วนสาเหตุการก่อเหตุยิงตัวเองตายในครั้งนี้ ญาติยืนยันว่าผู้ตายเกิดความเครียดหนักจากการปฏิบัติหน้าที่ แล้วถูกตำรวจด้วยกันหักหลังวางแผนให้ตกเป็นการเรียกรับเงินและกรรโชกทรัพย์ จนถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิและยังน้อยใจที่เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาไม่เข้าข้าง และมองว่าถูกปล่อยทิ้งกลางทาง
น้าของผู้ตาย เล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการว่าจ้างหมอลำมาทำการแสดงภายในงานกฐิน ซึ่งแสดงภายในหมู่บ้านของตนและผู้ตายก็ไปร่วมชมหมอลำด้วย จนกระทั่งเกือบสว่างหมอลำกำลังจะเลิก ผู้ตายได้เดินไปทักทายเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน แต่ในระหว่างนั้นได้โอบกอดไปที่เอวของเพื่อนบ้านและพบว่ามีการพกอาวุธปืนมาด้วย จึงมีการต่อว่าพกปืนมาได้อย่างไร ผู้ตายจึงตรวจยึดอาวุธปืนมาถือไว้
ระหว่างนั้นได้มีตำรวจอีกนายสังกัด สภ.เมืองยโสธร ที่ไปร่วมชมหมอลำด้วยเข้ามาขัดขวางพร้อมกับอ้างว่าเป็นอาวุธปืนของตนที่ให้เพื่อนบ้านซึ่งเป็นคนรู้จักกันพกติดตัวไว้เฉยๆ จนเกิดการโต้เถียงกัน แล้วตำรวจนายนั้นได้ใช้มือจับคอผู้ตายกดลงกับพื้น แต่ลูกชายของตนที่ไปชมหมอลำเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปขวางไว้ เพราะเห็นว่าเป็นญาติกันจนถูกฝั่งตรงข้ามทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปโดยผู้ตายได้ตรวจยึดอาวุธปืนกลับไปด้วย
จากนั้นผู้ตายได้ไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะเห็นว่าเป็นปืนของตำรวจด้วยกันเอง ผู้บังคับบัญชาจึงแนะนำให้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักฐาน ผู้ตายจึงไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คำเขื่อนแก้ว และตนก็พาลูกชายเข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ด้วยว่าถูกทำร้ายร่างกาย
วันต่อมาฝ่ายตรงข้ามจึงติดต่อมาขอเจรจาเพื่อขอให้ถอนแจ้งความทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและอาวุธปืน จนต่อมาผู้ตายถูกผู้บังคับบัญชาเรียกเข้าไปพบและขอให้ไปเคลียร์กับฝ่ายตรงข้ามให้จบแต่ด้วยดีไม่อยากให้มีปัญหากัน โดยถ้าจะเรียกค่าเสียหายก็ให้ไปคุยกันเอาเอง ผู้ตายจึงไปเรียนเพื่อนบ้านและตำรวจคู่กรณีมาเจรจากันที่บ้านพักของผู้ตายและมีการเจรจาตกลงเรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 3 แสนบาท โดยฝ่ายตรงข้ามก็ตกลงยินยอมแต่ยังไม่ได้จ่ายเงินกันแต่อย่างใด
แต่ในระหว่างการเจรจาฝ่ายตรงข้ามได้มีการแอบบันทึกเสียงการเจรจาเอาไว้และได้นำเอาบันทึกเสียงนั้นไปฟ้องผู้บังคับบัญชาว่าผู้ตายเรียกรับเงินและมีการกรรโชกทรัพย์ตามคลิปเสียงดังกล่าว จนผู้ตายถูกผู้บังคับบัญชาเรียกเข้าไปตำหนิพร้อมบอกจะไม่ให้การช่วยเหลืออีกต่อไป หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาผู้บังคับบัญชาก็ไม่จ่ายงานให้ทำเพื่อนร่วมงานก็ไม่พูดคุยด้วย จนทำให้ผู้ตายเกิดความเครียดและน้อยใจไม่อยากจะอยู่ต่อและโทรศัพท์มาเล่าระบายให้ตนฟังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตนก็ได้พยายามให้กำลังใจและบอกไม่ต้องไปคิดมากเดี๋ยวจะพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ให้ โดยผู้ตายเกรงว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ จนนำไปสู่การสอบวินัยและให้ออกจากราชการจึงตัดสินใจยิงตัวเองตายดังกล่าว
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้นำเงินเดือนของตนไปแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องคนละ 1,000 บาท และเมื่อคืนยังนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันก่อนขอตัวเข้านอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ จนกระทั่งเช้าเวลาประมาณ 05.00 น. น้องสาวและแม่ของผู้ตายที่พักอยู่บ้านหลังเดียวกันได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด มาจากห้องนอนของผู้ตาย จึงพยายามเปิดประตูเข้าไปแต่ประตูถูกล็อกจากทางด้านใน จึงไปหากุญแจสำรองมาเปิดก็พบว่าผู้ตายนั่งฟุบจมกองเลือดอยู่บริเวณเตียงนอนโดยที่มือขวายังกำอาวุธปืนเอาไว้อยู่
โดย : สมัย คำแก้ว