ข่าว

เปิดพฤติการณ์ แก๊งตำรวจนอกรีต-ล่าม จัดฉากรีดเงินเหยื่อ 5.7 ล้าน

เปิดพฤติการณ์ แก๊งตำรวจนอกรีต-ล่าม จัดฉากรีดเงินเหยื่อ 5.7 ล้าน

01 พ.ย. 2567

เปิดพฤติการณ์ แก๊งตำรวจนอกรีต-ล่าม จัดฉากรีดเงินเหยื่อ ชาววานูอาตู 5.7 ล้าน ด้าน ผบ.ตร. สั่งฟันไม่เลี้ยง ดำเนินการทางวินัย-อาญา

จากกรณี 9 ตำรวจ และพลเรือน 3 ราย ร่วมกันจัดฉากเข้าค้นบ้านเหยื่อชาววานูอาตู รีดเงิน 300 ล้าน อ้างเป็นขบวนการปลอมพาสปอร์ต ก่อนพาไปรีดเงินถึง บก.สอท.1 จนท้ายที่สุดผู้เสียหายยอมโอนเงิน 5 ล้านบาทให้ ก่อนได้รับการปล่อยตัวออกมา

สำหรับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา ลงมือก่อเหตุเมื่อ 16 ต.ค. 2567 เวลาประมาณ 13.00 น. ร.ต.อ.ธนกฤต รองสว.กก.1 บก.สอท.1 นำทีมตำรวจ และล่าม ชื่อทราย เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ บ้านหลังดังกล่าวมีด้วยกัน 5 คน คือ นายไซ ชาววานูอาตู, ภรรยา, เพื่อนชาวจีน 2 คน, และแม่บ้านชาวเมียนมา

กลุ่มผู้ต้องหาแสดงหมายค้นให้คนในบ้านดู ผู้เสียหายอ่านภาษาไทยไม่ออก แต่เห็นเอกสารตราครุฑ คิดว่าเป็นเอกสารทางราชการ จึงยอมให้ตรวจค้น โดยกลุ่มผู้ต้องหาให้ล่าม ชื่อทราย เป็นคนแปลภาษาสื่อสารกับผู้เสียหาย อ้างว่า มีผู้ต้องหาชาวฟิลิปปินส์ จำนวน 4 ราย โดย 1 ใน 4 รายนั้น ให้การซัดทอดว่า นายไซ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมหนังสือเดินทาง ซึ่งถูกจับและถูกดำเนินคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ไปแล้ว ซึ่ง นายไซ ให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยมีความเกี่ยวข้อง

จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้ยึดโทรศัพท์ของทุกคนในบ้าน และคอมพิเตอร์ 1 เครื่อง ไปตรวจสอบ โดยหัวหน้าชุดจับกุมแจ้งกับนายไซ ว่าการจ้างแม่บ้านต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างด้าว อีก 1 กระทง ผู้เสียหายจึงเกิดความกลัว

ตำรวจยังขู่กรรโชกทรัพย์นายไซ โดยให้ล่ามสื่อสารเรียกรับเงิน 300 ล้านบาท หรือ เงินสกุลดิจิทัล จำนวน 10 ล้าน USDT (1USDT เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 33 บาท) เพื่อแลกกับการจบคดีและไม่ถูกดำเนินคดี แต่นายไซ แจ้งว่าไม่มีเงินสกุลไทยมากขนาดนั้น และไม่มีความผิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ชุดจับกุมกล่าวอ้าง จึงไม่ตกลงด้วย
 

เปิดพฤติการณ์ แก๊งตำรวจนอกรีต-ล่าม จัดฉากรีดเงินเหยื่อ 5.7 ล้าน

ชุดจับกุมดังกล่าว จึงพานายไซ พร้อมภรรยา เพื่อนชาวจีน และแม่บ้าน ขึ้นรถเดินทางมาที่ศูนย์ราชการ อาคารบี ระหว่างที่มาถึงได้ทำการพูดคุยเจรจากันอีกครั้ง เปลี่ยนแปลงยอดเงินเป็น 10 ล้านบาท แต่นายไซ ไม่ได้ตกลง

จนเวลาประมาณ 17.00 น. จึงควบคุมตัวนายไซ และภรรยา ไปยัง กก.1 บก.สอท.1 ห้ามไม่ให้เพื่อนชาวจีน และแม่บ้าน เข้าไปมีเพียงนายไซ และภรรยาที่ถูกสอบปากคำ ระหว่างที่สอบปากคำมีกลุ่มผู้ต้องหาอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด พร้อมกับ น.ส.ทราย และ นายหยุน ต้าเหลียง (สามีล่าม)

ชุดจับกุมยังคงต่อรองเรียกเงินกับนายไซ จนท้ายที่สุดนายไซ ยอมโอนเงิน 5 ล้านบาท แต่นายไซ ไม่มีเงินสกุลไทยเพียงพอ จึงโอนเงินสกุลดิจิทัล เข้ากระเป๋าดิจิทัลวอลเล็ต ของ น.ส.ทราย ครั้งที่ 1 จำนวน 9,253 UDST ครั้งที่ 2 จำนวน 140,000 UDST โดยกระเป๋าเงินปลายทางที่โอนไปนี้ ได้อยู่ในโทรศัพท์มือถือของ น.ส.ทราย

เมื่อได้รับเงินครบถ้วนแล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้จัดทำเอกสาร และให้ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน มาถ่ายคลิปวิดีโอ ประกอบการ ทำสำนวนแจ้งว่า ตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำความผิดใดๆ พร้อมทั้งคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน แต่ไม่ได้คืนคอมพิวเตอร์ให้แก่นายไซ

ต่อมาวันที่ 17 ต.ค. 2567 เวลาประมาณ 13.00 น. น.ส.ทราย ได้ประสานกับเพื่อนชาวจีนของผู้เสียหาย โดยสนทนาผ่านเทเลแกรมของนายไซ ซึ่งขณะนั้นมือถืออยู่ที่เพื่อนชาวจีน ว่าหากต้องการทราบว่าผู้ใดเป็นผู้แจ้งให้ชุดจับกุมไปจับตัว ให้นายไซ โอนเงินเพิ่มเติมอีก 700,000 บาท นายไซ จึงโอนเงินเงินดิจิทัล เข้ากระเป๋า น.ส.ทราย จำนวน 20,895 UDST ภายหลังไม่สามารถติดต่อจาก น.ส.ทราย ได้อีกเลย

ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ทนายความ เข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สอท.1 จนทราบรายชื่อบุคคลกระทำความผิด ทั้งหมด ก่อนเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง
 

ภาพการสอบสวนผู้เสียหาย และพยาน

สำหรับคดีนี้มีผู้ก่อเหตุ 12 คน ประกอบด้วย

ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแล้ว 10 ราย 1.พ.ต.ท.ชนะชัย 2.ร.ต.อ.อำนวย 3.ด.ต.ชยพล 4.ด.ต.พรเทพ 5.ด.ต.มนัสวี 6.ด.ต.สยาม 7.ร.ต.อ.ธนกฤต 8.ด.ต.สุพรรณ 9.จ.ส.ต.กิตติภูมิ และ 10.นายธวุท ยังมีผู้ต้องหาหลบหนี 2 คน คือ น.ส.ทราย และ นายหยุน ต้าเหลียง

ล่าสุดวันนี้ (1 พ.ย. 2567) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ได้สั่งกำชับให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ดำเนินการเร่งรัดสั่งการสืบสวนจับกุมตัวมาดำเนินคดี และให้ต้นสังกัดดำเนินการทั้งวินัย อาญา อย่างเด็ดขาดโดยให้สืบสวนขยายผลผูัมีส่วนในการกระทำผิดต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด แล้วรายงานผลให้ทราบโดยเร็วเป็นตำรวจทำผิดต้องรับโทษ จะไม่มีละเว้น ทำดีต้องยกย่องเชิดชูให้รางวัล