"ทนายตั้ม" เปิดใจ ปมฉ้อโกง 71 ล้าน พ้อถึง "เจ๊อ้อย" หมดรักแล้วไม่น่าทำแบบนี้
ทนายตั้ม เปิดใจเคลียร์ทุกคดี ยืนยันความบริสุทธิ์ ปมฉ้อโกง 71 ล้าน พ้อถึง "เจ๊อ้อย" หมดรักแล้วไม่น่าทำแบบนี้ ยันพร้อมคืนเงิน หากฉ้อโกงจริง
วันที่ 5 พ.ย. เมื่อเวลา 09.49 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กรณีที่ถูก น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย แจ้งความเอาผิดในข้อหาฉ้อโกงปมเงิน 71 ล้านบาท
ทนายตั้ม กล่าวว่า วันนี้ตนตั้งใจเข้ามาหาพนักงานสอบสวน ในคดี 71 ล้านบาทที่ตนถูกกล่าวหา เนื่องจากตนได้บอกพนักงานสอบสวนไปหลายครั้งแล้วว่าพร้อมที่จะมาให้ข้อมูล และรอตำรวจเรียกไปให้ปากคำ แต่ทางตำรวจก็ไม่ได้มีการเรียก ซึ่งทางตำรวจมีการเรียกฝั่งเจ๊อ้อยมาสอบหลายครั้งแล้ว และปรากฏว่าก็มีตำรวจไปติดตามตนที่บ้านหลายวันซึ่งตนอยู่บ้านทุกวัน ซึ่งที่ปรากฏในสื่อว่าตนไปที่อื่นนั้นไม่เป็นเรื่องจริง โดยที่ตนตัดสินใจมาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้เพราะเมื่อเช้าพบว่ามีตำรวจขับรถไปดักตนบริเวณหน้าบ้านจำนวน 3 คัน ทำให้ตนเกิดความไม่สบายใจ โดยตนอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าการที่จะไปนำใครมาสอบปากคำโดยไม่มีหมาย แล้วภายหลังหากตนไปร้องก็จะมีความผิด
ที่ผ่านมาตนไม่ได้ออกมาชี้แจงเนื่องจากอยากให้ทางฝั่งเจ๊อ้อยได้ชี้แจงให้การอย่างเต็มที่ก่อน โดยตนเคยทำหนังสือถึงบช.ก. ตั้งแต่ตอนที่คดีถูกโอนมาใหม่ๆ ว่าให้สอบผู้กล่าวหาพร้อมพยานอย่างละเอียด โดยแยกกับทนาย ซึ่งแท้จริงตนรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร จึงอยากให้ทางตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ หากตนรีบมาก็จะมีเวลาในการทำคดีน้อย
นายษิทรา กล่าวว่า หากทางตำรวจต้องการให้ตนมาให้ข้อมูล ตนรอมาตั้งนานแล้ว ที่ผ่านมา ตนอยากให้ฝ่ายเจ๊อ้อยให้การให้เต็มที่ ตนเคยทำหนังสือมาครั้งหนึ่งตั้งแต่คดีโอนมาที่นี่ใหม่ๆ ตนเดินทางมาวันนี้ เพื่ออยากจะชี้แจงข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม พี่อ้อยหมดรักตนแล้ว ก็ไม่น่าทำกันแบบนี้
สำหรับเรื่องที่ตนถูกกล่าวหาในทุกประเด็น ไม่เป็นเรื่องจริงเพราะที่ผ่านมาตนทำใบเสนอราคามาโดยตลอด ซึ่งตนเป็นน้องรักของเจ๊อ้อย ให้ทำอะไรก็ทำมาตลอด หากจะเข้าข้อหาฉ้อโกงตนจะต้องมีเจตนาที่จะฉ้อโกงแต่แรก และเรื่องรถ Mercedes - Benz GLS AMG Premium ที่กล่าวอ้างว่าราคา 8-9 ล้านบาทนั้น ไม่เป็นจริงตามราคาตลาด และที่มีการกล่าวอ้างว่าตนนำรถไปให้จีนเทาเช่านั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากชื่อเจ้าของรถเป็นเจ๊อ้อย ไม่ใช่ไฟแนนซ์ ตนจึงไม่มีสิทธิ์นำรถไปปล่อยเช่าได้ ซึ่งตนได้ครอบครองรถคันนี้ไม่กี่เดือนเท่านั้น
สำหรับเรื่องเงิน 71 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่าตนได้มาโดยเสน่หา โดยคำว่าเสน่หาเป็นศัพท์ทางกฎหมายแต่สังคมคงไม่เชื่อตน อีกทั้งมีบางรายการพยายามจะเล่นงานตนในเรื่องดังกล่าว ตนยืนยันความบริสุทธิ์หากฉ้อโกงตนพร้อมจะคืน แต่หากไม่ใช่ก็ต้องว่ากันไปตามกฏหมาย ซึ่งตอนนี้ยังเป็นคดีความอยู่ จึงยังไม่ทราบว่าจะต้องมีการคืนเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากไม่ต้องคืนก็จะต้องเสียภาษี 5% ตามที่กฎหมายกำหนด
ส่วนประเด็น 39 ล้านบาท เรื่องนี้จะพยายามพูดไม่ให้เกิดความเสียหาย แต่เรื่องเงินที่สื่อนำเสนอคนละเรื่องกับเรื่องจริง โดยเรื่องเงิน 39 ล้านบาท เจ๊อ้อยได้มีการพูดคุยกับผู้ที่อ้างว่าเป็นดาราชาวจีนชื่อ ‘เฉินคุณ’ แต่เเท้จริงเเล้วเป็นสแกมเมอร์ ซึ่งตามคำบอกเล่าของเจ๊อ้อยได้มีการพูดคุยกับสแกมเมอร์มาเป็นปีแล้ว และเจ๊อ้อยกล่าวว่าพูดคุยกันมานานแล้ว และต้องการให้มาที่ประเทศไทยจึงให้ตนโอนเงินให้ โดยสแกมเมอร์รายนี้อยากให้โอนเป็นบิทคอยท์ แต่ตนไม่มีความรู้ จึงให้น้องที่ชื่อ ‘นุ’ โอนให้ แต่หลังจากโอนไปกลับไม่สามารถมาที่ไทยได้ และบอกให้โอนเงินเพิ่มเพื่อที่จะเดินทางครั้งที่ 2 เป็นค่าดำเนินการและค่าบอดี้การ์ด
ซึ่งเลขาของเจ๊อ้อยก็เริ่มเอะใจว่าจะถูกหลอก แต่ทางเจ๊อ้อยยืนยันให้โอนรอบ 2 ตนจึงให้รุ่นน้องชื่อนุ ช่วยโอนเช่นเดิม
เมื่อโอนรอบ 2 ปรากฏว่าดาราคนดังกล่าวไม่ยอมมาไทย ตนจึงพยายามเช็กกับทางจีน โดยตนไปขอคอนแทคมาจากพี่เอศุภชัย ที่รู้จักกับคนที่คอยพาดาราจีนเข้าประเทศไทย ชื่อคุณหลิว ซึ่งตนได้เล่าเรื่องให้คุณหลิวฟัง โดยคุณหลิวก็มาว่าดาราจีนมูลค่าสูงมาก จะไม่มีการมาคุยกับ FC ตรงๆ และจะไม่มีการให้โอนเงินให้ และที่สำคัญคือในขณะนั้นที่มีการคุย เฉินคุณตอนนั้นอยู่ในป่า ไม่มีทางจะมาไทย
แต่เจ๊อ้อยไม่เชื่อก็ยังจะโอนอีก 5 ล้านบาท ซึ่งตนและเลขาไม่อยากทำให้ ทางเจ๊อ้อยจึงให้นุโอนแต่ก็ยังไม่ได้พบดาราจีน ทางเจ๊อ้อยจึงไปแจ้งความเอาผิดกับนุ แต่ภายหลังเจ๊อ้อยอาจจะสงสารนุเลยได้มีการไปเคลียร์ให้ แต่ตอนนี้กลับมีข่าวมาว่าตนเป็นคนไปสร้างเรื่องต่างๆ ตนเป็นทนายความตนมีหลักฐานและจริงๆอยากจะรอหมายจากตำรวจ แต่หมายก็ยังไม่มา
สำหรับเรื่องพยานบ. ที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เคยกล่าวอ้างว่าเป็นคนสนิทของตนและมีการสารภาพทุกอย่างแล้วนั้น ความจริงไม่ได้เป็นการสารภาพ แต่ทางตำรวจมีการไปเชิญตัวมา ซึ่งภายหลังหากพยานกล่าวว่าไม่ยินยอม ระวังตำรวจอาจจะโดนคดีด้วย
โดยหลังลงบันทึกประจำวันที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นเวลานานกว่า 15 นาที ทนายตั้มก็ได้เดินออกมา ทีมข่าวพยายามจะขอเข้าไปสอบถามประเด็นเพิ่มเติม แต่ทนายตั้มก็กล่าวเพียงแค่ว่าจะไม่ให้สัมภาษณ์อะไรแล้ว ขอให้รักษากฎระเบียบด้วย โดยเบื้องต้นตำรวจได้นัดวันให้ตนมาให้ปากคำเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งตนจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งในภายหลัง.