"เจ๊อ้อย" ไม่กังวลต่อรูปคดี หลัง"ทนายตั้ม"โผล่กองปราบ ยืนยันความบริสุทธิ์
"เจ๊อ้อย" เปิดใจหลังให้ปากคำวันที่ 4 ปมเสน่หา 71 ล้าน นาน 11 ชั่วโมง ก่อนกลับโคราช เผย "ทนายตั้ม" โผล่กองปราบไม่กังวลต่อรูปคดี
30 พ.ย. 2567 เวลา 20.50 น.ที่กองบังคับการปราบปราม เจ๊อ้อย หรือ นางจตุพร อุบลเลิศ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสั้นๆ ภายหลังเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนนานกว่า 11 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการให้ปากคำเป็นครั้งที่ 4 ในประเด็นฟ้องร้องทนายตั้ม ฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท และเงิน 39 ล้านบาท ที่ ทนายตั้ม ระบุว่า ถูกสแกมเมอร์หลอกโอนเงิน
โดย เจ๊อ้อย มีสีหน้ายิ้มแย้ม เดินมาสวัสดีทักทายสื่อมวลชนที่ยังรอทำข่าว และบอกเพียงสั้นๆว่า งดการให้สัมภาษณ์ เพราะให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว ส่วนที่ ทนายตั้ม มาที่กองบังคับการปราบปรามวันนี้ ตนไม่เห็นเพราะให้การกับตำรวจอยู่ข้างบน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์อ้างเรื่องเงิน 71 ล้านบาทเป็นการให้โดยเสน่หา และเงิน 39 ล้าน ถูกสแกมเมอร์หลอกนั้น เจ๊อ้อย บอกว่า ให้การตำรวจไปหมดแล้ว และยืนยันว่า แม้ ทนายตั้ม จะปรากฎตัวในวันนี้ก็ไม่ได้กังวลต่อรูปคดี
เมื่อถามว่าเสียใจหรือไม่กับสิ่งที่ ทนายตั้ม พูดในวันนี้ เจ๊อ้อย ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ และยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด โดยขอให้ ทนายเป็นคนให้รายละเอียดของการให้ปากคำวันนี้ จากนั้น เจ๊อ้อยก็เดินไปขึ้นรถกลับโคราชทันที ซึ่งในรถมีลูกชายเจ๊อ้อย เดินทางมาด้วย
ด้านนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความ เจ๊อ้อย ให้สัมภาษณ์ว่า เจ๊อ้อย ให้ปากคำเป็น 4 วันรวมกว่า 47 ชั่วโมง ซึ่งจากการประเมินคาดว่าน่าจะครบแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าจะต้องเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะ ตนไม่ได้เข้าไปในห้องให้การด้วย
ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านบาทนั้น ตน บอกได้แต่เพียงว่าโอนให้นางสาว ส. ซึ่งขอยืนยันเพียงเท่านี้ ส่วนโปรแกรมเมอร์ ยืนยันว่ามีอยู่จริงโดยเงินยอดดังกล่าวได้โอนให้กับบัญชีของผู้หญิงชื่อขึ้นต้นด้วย ส. ซึ่งกรณีนี้มีความเกี่ยวโยงกัน คือมีผู้เสียหายคนเดียวกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกับคดีอีกคดีหนึ่งยังไงยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ทนายความ กล่าวถึงสัญญาว่าจ้างที่ ทนายตั้ม อ้างว่าเป็นสัญญาจ้าง และเกิดขึ้นจากความเอ็นดูหรือเป็นลูกรัก ว่า เรื่องดังกล่าวต้องมองแยกกัน เพราะในสัญญาระบุว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ไม่ได้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่ในการบริหารหรืออย่างอื่น และเรื่องผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่สามารถนำมารวมกันในสัญญาว่าจ้างได้ ทั้งนี้ให้ดูที่สัญญาว่าจ้างว่า ได้ระบุไว้อย่างไร ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นการกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก
ทั้งนี้การดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวมี 2 ส่วน คือความผิดที่เกิดขึ้นกับตัวของเจ๊อ้อย ในส่วนนี้ได้มีการให้ปากคำไปทั้งหมดแล้ว และความผิดต่อรัฐ ที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถแจ้งความเอาผิดได้ เช่น เรื่องภาษี
"เจ๊อ้อย ยืนยันจะดำเนินคดี ทนายตั้ม ให้ถึงที่สุด และสิ่งที่ ทนายตั้มให้สัมภาษณ์ในวันนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวของลูกความ" นายสมชาติ ทนายความ กล่าว