ข่าว

เปิดข้อหาที่ “ทนายตั้ม” โดนแจ้งคนแรกในประวัติศาสตร์

เปิดข้อหาที่ “ทนายตั้ม” โดนแจ้งคนแรกในประวัติศาสตร์

09 พ.ย. 2567

เปิดข้อหาที่ “ทนายตั้ม” โดนแจ้งคนแรกในประวัติศาสตร์ อัยการชี้ เป็นปรากฏการณ์ทางกฎหมาย เพื่อตัดวงจรอาชญากรรม

9 พ.ย. 2567 จากกรณีที่มีการยื่นคำร้องฝากขัง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือ เดือน ภรรยาทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง ,ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทาความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), มาตรา 5, มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นั้น

 

โดยมีรายงานว่า ในคำร้องฝากขังทนายตั้มได้มีการบรรยาย ว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 (ทนายตั้ม) เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 อยู่ด้วยนั้น

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลถึงความผิดฐาน ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งไม่ค่อยได้ยินมาก่อน

 

เเหล่งข่าว จากสำนักงานอัยการสูงสุด ให้ความเห็นทางกฎหมายว่า คดีของ ทนายตั้ม ถือเป็นคดีเเรกเท่าที่ตนเคยพบ ซึ่งไม่เคยพบว่าที่ผ่านมามีคนเคยถูกเเจ้งข้อหาดังกล่าว  การดำเนินคดีอาญาข้อหา ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ถือว่าเป็นก้าวย่าง ที่สำคัญ ของการนำกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมาผสมผสานกัน กล่าวคือ ข้อหาฉ้อโกง เป็นความผิดที่อยู่ในกฎหมายอาญา โดยมีแต่เฉพาะการฉ้อโกงบุคคลทั่วไป มาตรา 341 กับการฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343

 

โดยคำว่า ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ จะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการ ในการดำเนินคดี กับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และการยึดอายัดทรัพย์สิน

ทนายตั้ม

 

ทั้งนี้ คำว่าเป็นปกติธุระ อาจมีความหมายความว่า เป็นบุคคลผู้มีหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกหรือผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วกระทำการ ฉ้อโกง โดยหลอกลวง แล้วเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไปจำนวนหลายครั้งหลายคราเป็นอาจิณ

 

ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นข่าวทางสื่อมวลชน ในประเด็นที่ทนายความ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลซึ่งลูกความให้ความไว้วางใจมอบหมาย ให้ทำหน้าที่ในทางกฎหมาย เกี่ยวกับคดีความของตน แต่ทนายความดังกล่าว กลับกระทำการผิดหน้าที่ หลอกลวง เอาทรัพย์สินของลูกความ ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำการดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่ ที่ตนได้รับมอบหมาย และเป็นการกระทำที่ผิดมรรยาททนายอีกด้วย

 

การดำเนินคดี กับ ทนายความในข้อหาดังกล่าว จึงถือว่าเป็นก้าวย่างสำคัญ ที่เป็นปรากฏการณ์ทางกฎหมาย ในอันที่จะตัดวงจรอาชญากรรม และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับสุจริตชนด้วย

 

หลังจากนี้ ก็จะต้องมีการยึดอายัดทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติการฟอกเงินต่อไปอีก