ข่าว

แม่สุดทน ครูผู้ช่วยทำร้ายเด็กพิการ จับกดพื้น - ตบบ้องหู ลั่นเป็นการกระตุ้น

แม่สุดทน ครูผู้ช่วยทำร้ายเด็กพิการ จับกดพื้น - ตบบ้องหู ลั่นเป็นการกระตุ้น

10 พ.ย. 2567

แม่สุดทน ครูผู้ช่วยทำร้ายเด็กพิการ บ่ายเบี่ยงก่อนจำนนด้วยกล้องวงจรปิด ยิ่งดูยิ่งช้ำใจ ครูจับกดพื้น - ตบบ้องหู ลั่นเป็นการกระตุ้นเด็กพิเศษประเภทนี้

9 พ.ย. 2567 จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความลงในเพจ “ชุมชนคนหลังสวน” ระบุว่า คนหลังสวนคิดว่ายังไง ถ้าครูผู้ช่วยคนนี้ทำกับลุกหลานท่าน ช่วยกันแชร์เลยค่ะ พรุ่งนี้นักข่าวทุกสำนักต้องมาเยือน #เขียนสงสารน้องตะวัน โรงเรียนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากอำเภอหลังสวน”

 

 

 

แม่สุดทน ครูผู้ช่วยทำร้ายเด็กพิการ จับกดพื้น - ตบบ้องหู ลั่นเป็นการกระตุ้น

 

 

 

โดยโพสต์รูปเด็กที่ถูกทำร้าย ใบหน้าช้ำมีรอยแดง มีสติกเกอร์รูปหน้าเศร้าปิดทับใบหน้าไว้ หลังเรื่องดังกล่าวถูกโพยสต์ออกไป มีการแชร์ต่อโพสต์ดังกล่าวจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการโพสต์รูปใบหน้าของเด็ก ซึ่งใบหน้าด้านขวา บริเวณแก้มไปถึงใบหน้าและที่เบ้าตา มีร่องรอยแดงช้ำ เป็นจ้ำๆ คู่กับรูปบุคคลในชุดขาว เหมือนข้าราชการ คาดดวงตา ปิดชื่อและนามสกุล แต่ระบุให้รู้ว่า ครูผู้ช่วย ส่วนด้านล่างของรูป ยังระบุข้อความเพิ่มเติมอีกว่า ครูผู้ช่วย ทำเกินกว่าเหตุ จับเด็ก อ. กดพื้น เหตุจากร้องไห้ไม่หยุด

ผู้สื่อข่าวได้ สอบถาม น.ส.เสาวลักษณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ที่อยู่หมู่ 10 ต.บ้านควน อ.หลังสวน จ.ชุมพร แม่ของเด็กคนดังกล่าว ทราบว่าเมื่อวานนี้ (8 พ.ย.2567) ในช่วงเช้าที่ ตนเองได้ขับรถไปส่งลูกชาย ที่ ศกศ.ชพ.หน่วยบริการหลังสวน วัดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รับเลี้ยงและดูแลการเรียนเด็กพิเศษ สังกัดโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นปกติที่ต้องส่งลูกชายไปเข้าเรียนเช่นเด็กคนอื่น ๆ

 

แม่สุดทน ครูผู้ช่วยทำร้ายเด็กพิการ จับกดพื้น - ตบบ้องหู ลั่นเป็นการกระตุ้น

 

จนกระทั่งช่วงเย็น ซึ่งทางผู้เป็นตาของน้อง จะรับหน้าที่ไปรับกลับจากโรงเรียนมาบ้าน  แต่วันนี้รู้สึกผิดปกติ เมื่อเห็นคุณตา ลูกชายก็วิ่งเข้าหา และสวมกอดคล้ายกับหวาดผวาอะไรมา และมาสังเกตที่บริเวณแก้มด้านขวา มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายอีกด้วย

 

น.ส.เสาวลักษณ์ เล่าว่าคุณตาจึงได้เดินเข้าไปสอบถามครูประจำห้อง นายธนพงษ์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กพิเศษ วัดใหญ่ ต.ขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดยครูคนดังกล่าวอ้างว่า น้องทำร้ายตัวเอง แต่ตาไม่เชื่อเพราะดูร่อยร่องแล้ว น่าจะเป็นการถูกทำร้ายมากว่า เพราะตามแก้ม ใบหูโดยเฉพาะดวงตาช้ำเลือด จึงขอดูกล้องวงจรปิด แต่ถูกปฏิเสธจากครูคนดังกล่าว พร้อมอ้างว่า ไม่มีกล้อง

 

ด้วยความโมโหหลานชายถูกทำร้าย และยังถูกบ่ายเบี่ยง คุณตาจึงได้นำหลานชายกลับมาบ้าน ต่อมาไม่นานก็มีครูผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นหัวหน้า ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ครูคนดังกล่าว ได้รับสารภาพแล้วว่าได้ทุบตีน้องจริง พวกตนจึงได้เดินทางไปยังโรงเรียนอีกรอบ เพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเมื่อได้เห็นภาพครูคนดังกล่าว ใช้มือกระชากผมน้อง แล้วใช้มือตบที่บริเวณบ้องหูน้อง จะแรงหรือไม่นั้นตนเองไม่ทราบ แต่ก็ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้

 

เมื่อสอบถามครูที่ทำร้ายน้อง ยังพบคำตอบที่แทบรับไม่ได้เลย เพราะครูคนนั้นตอบว่า การตบที่หูเด็กเป็นวิธีการกระตุ้นเด็กพิเศษประเภทนี้ ซึ่งตนเองก็ทำกับเด็กทุกคนและทำแบบนี้มานานแล้ว ส่วนที่จับเด็กกดลงกับพื้น ก็เพราะน้องไม่ยอมหยุดจึงต้องทำวิธีดังกล่าว

 

น.ส.เสาวลักษณ์ เล่าต่ออีกว่าทุกคนเมื่อเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว มันสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อนำไปแจ้งความ แต่ครูคนดังกล่าวไม่ให้และไม่สะทกสะท้าน พร้อมบอกว่าอยากได้ก็ไปแจ้งตำรวจ และให้ตำรวจมาเอาเอง ตนเองจึงได้เดินทางมาที่ รพ.หลังสวน เพื่อให้แพทย์ ได้ตรวจร่างกายก่อนจะเดินทางมาที่ สภ.หลังสวน เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายธนพงษ์ (สงวนนามสกุล) ฐานความผิดทำร้ายร่างกายลูกชายต่อไป

 

นอกจากนี้หลังจากที่ได้ไปแจ้งความแล้ว ทางผู้บังคับบัญชาตามสายงานของ ครูคนดังกล่าวได้เดินทางมาพบตน โดยขอร้องอย่าให้เรื่องใหญ่โต โดยจะขอสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร? แล้วค่อยว่ากันตามกระบวนการตามกฎหมาย โดยขอเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งตนก็บอกว่า ได้แต่ตอนนี้ต้องแจ้งความไว้ก่อน ทางผู้บังคับบัญชาสายงาน ก็เดินทางกลับไป