"ทนายวิฑูรย์" ยอมรับ คนในคลิปเสียงจริง แต่ไม่ได้ขู่จะทำร้ายผู้เสียหาย
"ทนายวิฑูรย์" ชี้แจง คลิปเสียงหลุดไม่ได้ข่มขู่ทำร้ายใคร ต้องการให้ผู้เสียหายกลับใจ ตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ เตรียมฟ้องแพ่งเรียกร้อยล้าน
กรณีที่มีเพจดังนำเสนอคลิปเสียงอ้างว่าคือ นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอลและกลุ่มบอส ดิไอคอน กรุ๊ป พูดคุยกับผู้เสียหายในลักษณะข่มขู่
22 พ.ย. 2567 ทนายวิฑูรย์ ยอมรับ คลิปเสียงนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่เป็นการพูดคุยกับผู้จำหน่ายสินค้าที่อยู่ในกลุ่ม “ครอบครัวดิไอคอน” เป็นการพูดคุยบันทึกที่จะส่งให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยส่วนตัวทราบว่าในกลุ่มมี "หนอนบ่อนไส้" จึงได้ส่งสารไปหาโดยตรง จะได้รู้ว่าในกลุ่ม 10,000 คน มีผู้เสียหายจริงๆเท่าไหร่ หากพบว่าคนในกลุ่มที่ได้มีการเบิกสินค้าไปแล้วจำหน่ายสินค้าไปแล้ว แต่มาแจ้งความอ้างตัวเป็นผู้เสียหาย ก็จะมีการแจ้งความกลับในข้อหาแจ้งความเท็จ
ส่วนที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า พูดคุยในลักษณะข่มขู่ผู้เสียหาย ทนายวิฑูรย์ชี้แจงว่า ที่ตนขู่บอกจะดำเนินคดี ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีมีความผิดทางกฎหมาย เพราะไม่ได้ขู่ที่จะทำร้ายใคร ส่วนจะอ้างว่าหวาดกลัวนั้น มองว่า หากไม่ผิดจริง จะกลัวการดำเนินคดีทำไม ตนใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย
ส่วนการพาดพิงไปถึงบุคคลที่3 ที่ถูกดำเนินคดีและกำลังจะถูกดำเนินคดี ทำให้เกิดความหวาดผวากับสมาชิกจนทำให้บางคนต้องกลับใจไปถอนแจ้งความ ถือว่าเป็นการวางแผนทีมทนายทนายในการต่อสู้คดีหรือไม่ ทนายวิฑูรย์ ชี้แจงว่า ต้องการให้เกิดความเป็นธรรม ไม่อยากให้เป็นการใส่ร้ายใคร เพราะการที่บอสของดิไอคอน กรุ๊ป ถูกจับกุม ก็ไม่ได้ถือว่ามีการกระทำความผิดหรือบริษัทมีการฉ้อโกง เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีการตัดสิน ตนต้องการความเป็นธรรมมากกว่า ไม่ใช่การแจ้งความจะเป็นการใส่ร้ายใคร แต่คนที่ไปแจ้งความในหลายคนก็ไม่ใช่ความจริง ทำให้คนไม่ได้กระทำผิดต้องติดคุกอยู่ที่นี่ หากกลับใจก็กลับใจได้ทัน แต่หากกลับใจไม่ได้ ท้ายสุดแล้ววันหนึ่งถูกดำเนินคดีอยากรู้จะมีคนเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่
สำหรับการกลับใจของผู้เสียหายนั้น ตนเองยังไม่ได้ระบุเส้นตายว่าต้องออกมาวันไหน แต่ทางดีเอสไอกำหนดเวลาจนถึงแค่วันที่ 3 ธ.ค. เท่านั้น
ส่วนกรณีที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ถูกออกหมายจับในข้อหา โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา” นั้น ทนายวิฑูรย์บอกว่า เพิ่งทราบเรื่องจากสื่อมวลชน แต่ไม่ได้รู้สึกตกใจ เพราะเป็นไปพยากรณ์เอาไว้ ที่พยากรณ์แม่น เพราะถือว่าเป็นไปตามประสบการณ์ เนื่องจากว่า นายเอกภพ มีพฤติกรรมทำให้คดีธรรมดาๆ เป็นคดีโยงว่าจ่ายเงินให้หน่วยงานราชการ โยงไปถึงพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จนตอนนั้นบริษัทดิไอคอนกลายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายเงินให้หน่วยงานต่างๆ จ่ายให้นักการเมือง และยัวการเชื่อมโยงไปถึงจีนสีเทาด้วย
ซึ่งตนเองได้ปรึกษากับทางบอส ดิไอคอน กรุ๊ป แล้วว่าหลังจากนี้จะแจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดหมิ่นประมาทกับ นายเอกภพ รวมถึงจะฟ้องเพ่งเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินหลักร้อยล้านบาท
ส่วนหลังจากนี้นายเอกภพได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน ก็มองว่าเป็นสิทธิ์ทางกฎหมาย ตนเองก็ยินดีด้วย แต่ลูกความของตนเองไม่เคยได้รับโอกาสนี้เลย
สำหรับวันนี้การเข้าเยี่ยม นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล และกลุ่มบอส ดิไอคอน กรุ๊ป ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้มาพูดคุยแนวทางในการสู้คดีในอนาคต แต่คุยกันไม่นานมาก เนื่องจากมีคนเข้าเยี่ยมหลายคน พูดคุยเพียงแค่ 3-4 ท่านเท่านั้น ซึ่งแนวทางขณะนี้ตั้งใจจะพาพยานที่เคยแจ้งความกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง ไปพบเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพยาน เพื่อไปยื่นคำร้องให้การใหม่อีกครั้ง ตั้งใจจะเริ่มในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ซึ่งเท่าที่ตนเองคาดการณ์เอาไว้ก็คือจะพาไปวันละ 200 คน
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ พาผู้เสียหายจำนวน 89 ราย มาทำทีเป็นผู้เสียหาย ขอเงินค่าเยียวยาจากบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งเคยจ่ายให้จำนวน 8.9 ล้านบาท โดยคนที่อ้างตัวว่า เป็นผู้เสียหายในจำนวนนี้ตามหลักฐานที่ได้มีการโอนเงินจ่ายตอนนี้จำนวนตัวเลขคือ 75 คน ในแต่ละคนมีการจ่ายเงินในเรทต่างๆตั้งแต่ 50,000 - 150,000 บาท
โดยมี 6 คน ใน 75 คน ทางทีมทนายความกันเอาไว้เป็นพยาน ในฐานะที่เป็นบุคคลได้มีการเบิกของออกไปจากบริษัท แต่ยังมีสินค้าบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ แต่ในจำนวน 69 คนที่เหลือ ได้เบิกสินค้าจากบริษัทไปหมดแล้ว อีกทั้งนำสินค้าไปจำหน่าย รวมถึงบริโภคเอง แต่กลับมามั่วนิ่มในลักษณะเข้ามาขอเงิน ทำตัวเป็นผู้เสียหาย ซึ่งคนกลุ่มนี้ทางทีมทนายความได้มีการเตรียมแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ หรือร่วมกันฉ้อโกง พร้อมกับ น.ส.กฤษอนงค์ หากย้อนกลับไปได้ ตอนที่ถูก น.ส.กฤษอนงค์ และกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นผู้เสียหายมาร้องเรียน ตนเองจะขอสู้ ไม่ขอจ่ายเงินแบบนี้
ส่วนสาเหตุที่ตอนนั้นบริษัทยอมจ่ายเงิน เนื่องจากสมาชิกของบริษัทดิมีหลาย 100,000 คน กลัวว่าถ้าหากเป็นข่าวเสียๆหายๆไปแล้ว บริษัทจะหมดความน่าเชื่อถือและจะได้รับผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงคนที่มาร้องเรียนอ้างถึง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีน้ำ ว่าได้รับมอบหมายให้มาจัดการเรื่องนี้ และยังมีการข่มขู่อีกด้วยว่า จะพาผู้เสียหายไปร้องกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แล้วจะพานักข่าวเข้ามาทำข่าว และน.ส.กฤษอนงค์ ยังอ้างอีกว่า เคยนำเงินไปให้กับดีเอสไอจำนวน 10 ล้านบาท ทำให้บอสพอล หวาดกลัว จึงยอมจ่ายเพื่อให้จบกันไป