อ.ปานเทพ ท้า ทนายตั้มสารภาพ ชี้ ผกก.สน.บางซื่อ ส่อแววโดยนด้วย
"ปานเทพ" เผย "ทนายตั้ม" ดิ้นเปลี่ยนคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่งยาก พร้อมท้า รับสารภาพ ชี้ "ผกก.สน.บางซื่อ" ส่อแววโดนด้วย
24 พ.ย. 2567 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงคดีฉ้อโกงของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำขณะนี้
โดยเชื่อว่า ขณะนี้ ทนายตั้ม ประเมินสถานการณ์ไม่ถูก แม้จะมีทนายเข้าไปรายงานสถานการณ์ แต่ก็ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ข้างนอก อาจจะประเมินเข้าข้างตัวเองว่ามีประเด็นที่จะสามารถต่อสู้ได้ และหากดูจากน้ำเสียงของทนาย สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้ม ก็ประเมินสถานการณ์ว่า หากยังคงเดินหน้าประเด็นที่ว่า ได้รับเงิน 71 ล้านมาโดยเสน่หา จะไม่สามารถสู้คดีได้
ดังนั้น ทนายสายหยุดจึงคิดจะแปลงเป็นคดีแพ่ง แล้วให้มีการคืนเงินแทน ทำให้นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้มทนาย กับทนายตั้มอาจมีความคิดไม่เหมือนกัน ตนหวังจะเห็นว่า ทนายสายหยุด เป็นคนที่มีคุณธรรม แล้วหวังว่า จะยืนหยัดในทางที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับทนายตั้ม และขึ้นอยู่กับว่าทนายตั้มจะไว้วางใจทนายสายหยุดแค่ไหน
ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานทนายความ ของทนายตั้ม ให้น้ำหนักนายอาคม คงสวัสดิ์ หรือทนายอาคมมากกว่าทนายสายหยุด แต่เนื่องจากมีเรื่องบาดหมางกัน ทำให้ทนายอาคมไม่ได้ทำคดีให้
แต่วันนี้ตนเชื่อว่าทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้มประเมินสถานการณ์ถูก ว่าขณะนี้ทนายตั้มเสียเปรียบ และการจะลดความเสียเปรียบได้ดีที่สุดคือการสารภาพ แล้วคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้ อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง นายปานเทพกล่าวว่า ตอนนี้ถือว่ายากแล้ว เพราะการที่ทนายตั้มเตรียมสัญญาไว้ตั้งแต่ต้น สะท้อนให้เห็นว่ามีการคิดวางแผนโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟอกความผิดให้ตัวเองหลังกระทำผิด
และน่าเสียดายที่ประเมินสถานการณ์ต่ำไป เพราะแชทข้อความทั้งหมดได้ถูกส่งไฟล์ที่ถูกต้องทั่งหมดไปให้กับคู่กรณี ดังนั้นคดีนี้จึงดิ้นยากมาก ที่จะเปลี่ยนจากคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง เพราะตอนนี้เป็นคดีฉ้อโกงแน่นอน
"ทั้งวิธีการของทนายตั้ม และการจะทำสัญญา แบบไม่ให้ เซ็นสัญญาทุกหน้าไว้ล่วงหน้า ซึ่งเห็นว่าระดับสอบเนติบัณฑิตได้แต่กลับมาทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาอยู่แล้ว แต่แรกที่จะเอาเงินคู่กรณี ไม่ได้ใช้ความคิดในการลงทุนอะไร ยิ่งได้เงินมาแล้วนำไปซื้อบ้าน ยิ่งถือว่าไม่มีเหตุผล แล้ววันแรกที่ได้เงินมา กลับนำไปใช้สอยอย่างมโหฬาร และหลังจากนั้น 1 เดือนก็ไปซื้อบ้านด้วยเงินสด จากนั้นโอกาสที่จะแก้ให้เป็นคดีแพ่ง ถือว่ายากมาก" นายปานเทพ กล่าว
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ทนายตั้มแต่ยังมีหลักฐานเด็ด นายปานเทพกล่าวว่า หากมีหลักฐานเด็ดและเป็นหมัดน็อคได้จริง ไม่มีทางมาถึงวันนี้ได้เลยที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รวมถึงภรรยาและคดีที่เพิ่มเป็นคดีฟอกเงิน มีการอายัดทรัพย์และไม่ได้รับการประกันตัว ถ้ามีเด็ดจริงคงโชว์ไปนานแล้ว แสดงว่าสิ่งที่มีในมือน้ำหนักไม่เพียงพอ และตนเชื่อว่าคงไม่มีหมัดเด็ดจริง
นายปานเทพยังกล่าวถึงกรณีที่ทนายตั้มนำ GPS ไปติดที่รถของ เจ๊อ้อยว่า GPS เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยี แต่เรื่องติดมีสาระสำคัญน้อยกว่าเรื่องใครเป็นคนลงทะเบียน ในสัญญา เป็นชื่อใคร ส่วนที่ทนายตั้มอ้างว่าไม่มีการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นไว้ในโทรศัพท์มือถือ
นายปานเทพย้อนถามกลับว่าไหนว่าโทรศัพท์หาย แล้วเหตุใดอ้างว่าไม่มีการดาวน์โหลด ส่วนประเด็นถัดไป คือชื่อที่ปรากฏ และไม่สามารถเปลี่ยนได้ เข้าไปส่องดูพิกัด เป็นชื่อของภรรยาทนายตั้ม ซึ่งเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะถกเถียงด้านวรรณกรรม
นายปานเทพ กล่าวว่าไม่อยากฝากอะไรไปถึงทนายตั้ม เพราะคิดว่าคงไม่ได้ยิน ในสิ่งที่ตนพูด ถึงมีคนไปสื่อสารแต่เชื่อว่าทนายตั้มมีอคติ ไม่เชื่อว่าสิ่งที่ตนพูดไปเป็นเรื่องจริง หรืออาจจะถูกดัดแปลง แต่คนที่มีน้ำหนักที่ทนายตั้มต้องฟัง คือทนายสายหยุดที่ต้องกล้าพูดความจริง ประเมินสถานการณ์จริงๆ
ถ้าจะให้ตนให้คำแนะนำกับทนายสายหยุด ต้องไปบอกกับทนายตั้มว่าสถานการณ์ข้างนอกตอนนี้แย่มาก ถ้าแน่จริงรับสารภาพจะมีประโยชน์มากกว่า แต่หากไม่รับสารภาพและยืนยันจะต่อสู้ในแนวทางนี้ ทนายสายหยุดก็มีสิทธิ์ที่จะถอนตัวได้
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากทนายตั้มยอมรับและขอโทษเจ๊อ้อย จะเป็นคดีแพ่ง คืนเงินแล้วทุกอย่างจะจบนั้นนายปานเทพกล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้เพราะตอนนี้เป็นคดีอาญา เป็นคดีฉ้อโกง หลายกรรม เพราะทำหลายครั้ง โดยเฉพาะคดี 39 ล้าน ชัดเจนว่ามีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่แรกถึงขนาดวางแผน ให้ตัวเองอยู่ต่างประเทศเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน เมื่อวันที่ถอนเงินสด ตัวเองอยู่ในประเทศ ตนเชื่อว่าเมื่อถึงฉันศาลศาลจะเข้าใจถึงพฤติการณ์ ของคนที่เป็นนักกฎหมาย และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ในการทำพรางตัวเอง เพื่อได้มาซึ่งเงินของผู้อื่น
ตนเชื่อว่าคนที่อยู่ในเรือนจำไม่มีทางรู้ข้อมูลเท่ากับคนนอกเรือนจำ โอกาสจะเบี่ยงคดีเป็นอย่างอื่นยากมากหากทนายตั้มคิดได้ ตัดสินใจสารภาพประกาศคืนทรัพย์สินทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เชื่อว่าศาลจะลดโทษ เพราะการสำนึกผิดยอมรับการกระทำผิด เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้โทษหนักกลายเป็นเบา และไม่แน่ใจว่าโทษที่เบาลงนั้นเจ๊อ้อยจะเดินสุดทางต่อหรือไม่
ถ้าสำนึกอย่างแท้จริงเราก็ไม่สามารถตอบแทนเจ๊อ้อยได้ แต่ถึงวันนี้ทนายตั้มไม่ได้ยอม เพราะยังใช้ช่วงทำนองเล่ห์เหลี่ยม ข่มผู้โดยการใช้วาทกรรม ซึ่งต้องยอมรับในศาลอย่างเดียว
เมื่อถามว่าตอนนี้ ยังไม่มีการไปแจ้งข้อหากรณี 39 ล้านบาท คิดว่าตำรวจ ยังมีข้อหาอื่นอีกหรือไม่นายปานเทพกล่าวว่า ตำรวจ ชุดที่ทำคดีชุดนี้ ทุ่มเททำคดีอย่างละเอียด การใช้เวลานานแต่ละคดีไม่ใช่ว่าหาหลักฐานไม่เจอ แต่รู้ว่ากำลังต่อสู้กับนักกฎหมายชื่อดังในประเทศไทย และมีเส้นสายจำนวนมาก ดังนั้นการนำไปสู่การแจ้งข้อหา ต้องรัดกุมแบบไม่มีรอยรั่ว หรือหากจะมีต้องน้อยที่สุด จึงมองว่าตำรวจใช้เวลาเพื่อให้รัดกุมรอบคอบ
นายปานเทพกล่าวว่าอยู่ที่ ผู้กำกับสนบางซื่อ ว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในการลงบันทึกประจำวัน อันนี้ข้อความ เป็นเท็จและใช้บันทึกที่มีข้อความเป็นเท็จไปใช้หลอกลวง ฮ่องกงผู้อื่นหรือไม่ ถ้าสำเนาบัตรชื่อยังไม่ดำเนินการ ถ้าสน.บางซื่อไม่ดำเนินการเชื่อว่าจะโดนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ที่ปล่อยให้มีการลงบันทึกประจำวันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และใช้เป็นหลักฐานเครื่องมือในการหลอกผู้อื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก
ดังนั้นการสอบสวนเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่อง สมควรแก่เหตุ ผู้กำกับสนต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะคนที่ลงบันทึกประจำวัน ถ้าไม่อยู่ในขบวนการเดียวกัน ก็ต้องเอาผิดกับคนเหล่านี้
เมื่อถามว่าวันนี้ส่อแววผู้กำกับจะโดนด้วยหรือไม่นายปานเทพกล่าวว่า มีสิทธิ์ที่จะโดนหากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนที่นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้มจะเข้าไปพบทนายตั้มในวันจันทร์นี้หากแนวทางไม่ตรงกันมีโอกาสที่ ไม่ทำคดีต่อ หรือไม่นายปานเทพกล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อมั่นทนายสายหยุด เพราะทนายสายหยุดรู้ว่าหากต่อสู้แบบเดิมคงไม่ชนะ ตนยังเชื่อในความคิดอ่านของทนายสายหยุดว่า ยังเป็นคนที่มีธรรมอยู่ แล้วหวังว่าภายใต้มโนสำนึกของทนายสายหยุด ที่รู้ผิดรู้ชอบ ต้องรู้ว่าสถานการณ์ ทนายตั้มตอนนี้เป็นคนดีหรือไม่ดี ทำที่หน้าของทนายสายหยุดน่าจะมีบทบาทสำคัญ ต่อการ ตัดสินใจของทนายตั้ม การที่จะไปพบวันจันทร์นี้
จะเป็นตัวตัดสินใจว่าทนายสายหยุดจะช่วยทำคดีให้ทนายตั้มต่อไปหรือไม่ และตอนนี้ตนเห็นว่า ทีม Adventure ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท ของทนายตั้มและยึดมั่นตามกฎหมาย ก็มีทิศทางเดียวกัน ประชาชนและสังคมก็เกือบจะเป็นฉันทานุมัติเดียวกันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคดีนี้ ตอนนี้ตนเชื่อว่าทนายตั้ม ประเมินสถานการณ์ข้างนอก ต่ำกว่าความเป็นจริงส่วนเรื่องพินัยกรรม นายปานเทพกล่าวว่า น่าจะเป็น พฤติการณ์แวดล้อมประกอบ สำนวน ตรงนี้จะเป็นดัชนีชี้วัดองค์ประกอบ เข้าฐานความผิด
เมื่อถามว่าสัปดาห์หน้าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่นายปานเทพกล่าวว่าจะรอ ให้ทนายสายหยุดพูดวันจันทร์ก่อน ถ้ามีสิ่งใดที่จำเป็นต้องพูด ก็จะมีการพูดอีกครั้ง