สอบสวนกลาง ลุยค้น 21 จุดเชียงใหม่ ทลายแก๊งคอลฯยึด 5.9 แสนซิมการ์ด
ตำรวจสอบสวนกลาง ลุยค้น 21 จุด จ.เชียงใหม่ ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขยี้มังกรเทา ยึด 5.9 แสนซิมการ์ด simbox 642 เครื่อง
27 พ.ย. 2567 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ , พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. และ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. แถลงตำรวจสอบสวนกลางจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขยี้มังกรเทา เป็นผู้ต้องหาชาวไทยและชาวต่างชาติ 15 ราย พร้อมยึดของกลางกว่า 190,000 รายการ
พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า การจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้ เนื่องจากวันที่ 23 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถบุกจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดของกลางได้ประมาณ 22,830 ซิมการ์ด จึงสืบสวนสอบสวนขยายผล จนกระทั่งมีหลักฐานที่แน่ชัด จึงบุกตรวจค้น 21 จุด ในจังหวัดเชียงใหม่
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.จิราพรรณ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหา และผู้ดูแลอุปกรณ์ภายในจุดติดตั้ง ในที่พักอาศัย ได้ 14 ราย แบ่งเป็นชายไทย 1 ราย ชาวจีน 5 ราย และชาวพม่า 8 ราย ในข้อหา ร่วมกันทำมีใช้นำเข้านำออกหรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และยึดของกลางเป็น ซิมการ์ดไทย 350,000 ชิ้น , ซิมการ์ดฮ่องกง 150,000 ชิ้น และที่เหลือเป็นซิมการ์ดประเทศอื่นๆ รวมมากกว่า 5.9 แสนซิมการ์ด , เครื่อง GSM gateway หรือ SIMBOX จำนวน 642 เครื่อง และอื่นๆอีกหลายรายการ โดยแก๊งดังกล่าวมีผู้ต้องหาอีก 2 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุม และตรวจค้นสถานที่เพิ่มเติม
จากการสอบสวนทราบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพฤติกรรมแบบนี้มาเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้ น.ส.จิราพรรณ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาสถานที่และนำอุปกรณ์ประเภทซิมบ๊อกซ์เข้ามาติดตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ซิมบ๊อกซ์ในการประกอบธุรกิจสร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอม ก่อนนำไปขายให้กับกลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดรูปแบบต่างๆ และใช้อุปกรณ์ซิมบ๊อกซ์ส่งข้อความผ่านระบบ เพื่อยืนยันตัวตนเมื่อได้รับการตอบรับกับรหัสผ่านทาง OTP ก่อนจะนำไปโพสต์ขายในกลุ่มลับ ในราคา 1 หยวน หรือประมาณ 5 บาท ก่อนจะนำรหัส OTP มาสร้างตัวตนหรือบัญชีในแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อปลอมเป็นบุคคลอื่นที่มีจริง
ก่อนจะใช้อุปกรณ์ดัดแปลงสภาพประกอบกับตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของอัลกอริทึมในระบบรักษาความปลอดภัยของโซเชียลมีเดีย ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจว่า บัญชีดังกล่าว เป็นผู้ใช้จริง เป็นการอัพราคาไปอีกระดับหนึ่ง เพื่อให้ผู้ต้องหาสามารถจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า นำมาขายในราคาเท่าไหร่