
7 ปีที่รอคอย แม่พลทหาร ฟ้องแพ่ง กลาโหม-ทบ. เรียก 4 ล้าน คดีทารุณลูกชายดับ
7 ปีที่รอคอยความยุติธรรม แม่พลทหาร ส่งทนาย ยื่นฟ้องแพ่ง กลาโหม - ทบ. กับ 13 ทหารที่ทำร้ายทรมานลูกชาย จนเสียชีวิตในค่าย หลังศาลทหารตัดสินจำคุกทั้งหมด
16 ม.ค. 2568 ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายนิติธร แก้วโต หรือทนายเจมส์ ในฐานะคณะอนุกรรมการคดีสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ยื่นฟ้องในคดีที่ นางเรณู แม่พลทหารผู้เสียชีวิตในฐานะทายาทโดยชอบธรรม ของนายยุทธกินันท์ ผู้เสียชีวิต เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และทหาร จำนวน 13 นาย เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 13 ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย 4,131,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2560 พลทหารภูวเดช จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกจำเลย ซึ่งเป็นทหารรวม 11 นาย ร่วมกันละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ของพลทหารยุทธกินันท์ โดยทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต โดยผู้เสียชีวิตเป็นทหารกองประจำการรุ่นปี 2558 ผลัดที่ 1 กองร้อยมณฑลทหารบกที่ 45 ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ประจำทหารสารวัตร
โดยผู้เสียชีวิตถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม ดื้อดึง ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา จึงถูกส่งตัวกลับหน่วยต้นสังกัดเดิม พร้อมลงทัณฑ์ในข้อหากระทำผิดวินัยทหาร ถูกจำขังเป็นเวลา 15 วัน เมื่อถูกนำไปส่งที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 15 มี ส.อ.สุรเชษฐ์ จำเลยที่ 12 เป็นผู้คุมเรือนจำ ได้ตรวจร่างกายพบว่าผู้เสียชีวิตสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว แต่พบสารเสพติดในปัสสาวะ จึงนำตัวไปใส่เครื่องพันธนาการ (ตีตรวน) พร้อมรายงานร.ท.ฐิติกานต์ จำเลยที่ 13 โดยสั่งให้ผู้เสียชีวิตออกกำลังท่าลุกหมอบจำนวน 300 ครั้ง วันละ 3 เวลา ซึ่งเป็นการทำโทษผู้ต้องขังใหม่
ต่อมาในวันเดียวกันเวลา 21.00 น. จำเลยที่ 4-11 นั่งดื่มสุราอยู่บริเวณม้านั่งหินอ่อนบริเวณเรือนจำ กับจำเลยที่ 12-13 จนถึงเวลา 01.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 2560 ขณะผู้เสียชีวิตนอนหลับอยู่หน้าห้องน้ำภายในห้องขัง จำเลยที่ 4, 5 , 7 และ 11 เดินเข้ามาปลุกให้ลุกขึ้น พร้อมกับปลุกผู้ต้องขังอีก 3 คน ได้แก่ จำเลยที่ 8 , 9 และ 10 (พลทหาร) ให้เข้ามาหาผู้เสียชีวิต
โดยจำเลยที่ 5 สั่งให้จำเลยที่ 8 , 9 , 10 รุมทำร้ายนานถึง 5 นาที และยังสั่งให้ทั้ง 3 คนจับผู้เสียชีวิต กดหัวให้ติดกับลูกกรงในห้องขังอยู่ในลักษณะที่ยืนกางแขน และใช้ผ้ามัดแขนให้ติดกับลูกกรงและสั่งให้ทั้ง 3 คน รุมทำร้ายนาน 4 นาที จากนั้น จำเลยที่ 4 , 5 , 10 และ 11 ได้เข้ามารุมชกและใช้เท้าถีบผู้เสียชีวิต จากนั้นมีการสั่งให้รุมทำร้ายอีกหลายครั้ง ทำให้มีอาการบาดเจ็บทุรนทุราย มีการใช้ถุงพลาสติกเจาะรูคลุมศีรษะนาน 1 นาที จนกระทั่งเวลา 02.01 น. จำเลยทั้งหมดจึงออกจากห้องขัง ปล่อยให้ผู้เสียชีวิตนอนเปลือยกายอยู่บนพื้น อีก 20 นาที ต่อมาจำเลยทั้งหมดเดินวนกลับมาทำร้ายผู้เสียชีวิตอีกรอบ เมื่อถึงเวลา 03.40 น. จำเลยที่ 8 , 9 และ 10 ใช้ผ้าขาวม้าผูกข้อเท้ากับลูกกรงในลักษณะห้อยศีรษะลงมา และนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาปิดหน้าผู้เสียชีวิต
กระทั่งเวลา 06.00 น. ผู้ต้องขังทั้งหมดถูกเรียกจากอาคารนอน มารวมแถวเพื่อเช็กยอด พลทหารได้ช่วยกันปลดผู้เสียชีวิตออกจากลูกกรง ตัดกางเกงที่พันตัวผู้เสียชีวิตและช่วยกันพยุงออกมาจากเรือนนอน โดยสิบเวรได้สั่งให้ผู้เสียชีวิตยืนตากแดดหน้าโรงอาหาร ขณะที่มีร่องรอยฟกช้ำตามร่างกาย และแผลแตกบริเวณคิ้ว จนยืนไม่ไหว จึงนอนฟุบตรงพื้น
เมื่อจำเลยที่ 13 เดินมาเห็นกลับสั่งให้ผู้ช่วยสิบเวร นำผู้ตายไปอาบน้ำ และนำมาที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะนำไม้ไผ่ตีผู้เสียชีวิต 2 ครั้ง โดยไม่มีการส่งไปพบแพทย์แต่อย่างใด และระหว่างวันที่ 29-30 มี.ค.2560 ผู้เสียชีวิตยังถูกสั่งให้ไปนอนตากแดด ทั้งที่ร่างกายรับไม่ไหว ต่อมาในวันที่ 31 มี.ค. 2568 ผู้เสียชีวิตมีอาการศีรษะบวมและมีไข้สูง จำเลยที่ 13 จึงส่งผู้ตายไปยังโรงพยาบาลวิภาวดี ก่อนที่แพทย์จะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยแพทย์นิติเวช มีความเห็นว่า ผู้เสียชีวิตมีบาดแผลหลายแห่ง ทั้งบาดแผลฉีกขาดกระจายทั่วร่างกาย สาเหตุการเสียชีวิตมาจากอาการไตวาย ภาวะเลือดเป็นกรด และไตทำงานหนัก การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นการจงใจละเมิดให้ผู้เสียชีวิตได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และเสรีภาพ มีการนำผ้าขาวม้าผูกคอผู้เสียชีวิตที่อยู่ในสภาพเปลือยกายจนมีอาการขาดอากาศหายใจ เมื่อจำเลยที่ 13 ทราบเรื่อง กลับไม่ส่งตัวไปรักษา เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นการละเมิดต่อผู้ตายให้ถึงแก่ความตายโดยทารุณและโหดร้าย
คดีนี้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 45 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ถึง 13 ต่อมณฑลทหารบกที่ 45 โดยลงโทษจำเลยที่ 3, 4 , 5 และ 8 ในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยทรมานเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก คนละ 6 ปี และลงโทษจำเลยที่ 6 , 7 , 9 และ 11 คนละ 8 ปี และจำเลยที่ 10 จำคุก 5 ปี 4 เดือน
จำเลยที่ 12 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยมิกระทำตามข้อบังคับ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นฯ จำคุก 6 ปี จำเลยที่ 13 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยฯ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่แต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ฯ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นฯ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 13 มีกำหนด 3 ปี
การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ถึง 13 นอกจากจะเป็นความผิดทางอาญาแล้ว ยังเป็นการละเมิดผู้เสียชีวิต รวมถึงมารดาของผู้เสียชีวิต จำเลยที่ 3 ถึง 13 ต้องร่วมกันชดใช้สินไหมทดแทนแก่โจทก์ โดยทั้งหมดอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าทนทุกทรมานจากการทำร้ายร่างกาย 80,000 บาท ค่าปลงศพ 700,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะ เดือนละ 5,000 บาท คำนวณจนผู้ตายอายุ 60 ปี เป็นเงิน 2,280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 1,071,000 บาท รวมที่จำเลยทั้งหมดต้องชดใช้เป็นเงินทั้งสิ้น 4,131,000 บาท
โดยคดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องคดีแบบอนาถา ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำ หมายเลข พ 120/2568 นัดไต่สวนขอยกเว้นค่าทำเนียมศาลในวันที่ 28 ม.ค. 2568 ในเวลา 09.00 น. และนัดชี้สองสถานในวันที่ 24 มี.ค. 2568 09.00 น.
นายนิติธร กล่าวว่า หลังศาลทหารมีคำพิพากษาในปี 2567 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหมด และปรับโดยไม่รอลงอาญา วันนี้จึงมายื่นฟ้องค่าเสียหายทางแพ่ง เนื่องจากศาลทหารไม่สามารถฟ้องแพ่งเข้าไปพร้อมกันได้ จึงต้องแยกฟ้องกับศาลแพ่ง โดยเพิ่มการฟ้องกระทรวงกลาโหม และกองทัพบก ที่เป็นต้นสังกัดของจำเลยที่ 1 ถึง 13
นายนิติธร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามารดาของผู้เสียชีวิตต้องอยู่อาศัยเพียงลำพังและขาดรายได้ ก่อนที่จะมายื่นเรื่องให้คณะอนุกรรมการคดีสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ยื่นฟ้อง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งให้กับครอบครัว อีกทั้งมารดาของพลทหารยุทธกินันท์ ยังเรียกร้องความยุติธรรมมาโดยตลอด แต่คดีไม่คืบหน้าตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปี 2565 จึงมีข่าวบนหน้าสื่ออีกครั้งหนึ่ง ตนจึงอธิบายว่าเป็นกระบวนการทางศาลทหารที่สืบได้แค่ครั้งละ 1 ปาก ทำให้ล่าช้า จนกองทัพบกได้ออกมาอธิบายภายหลังว่า สาเหตุที่คดีนี้มีความล่าช้า เนื่องจากช่วงหนึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 จึงเริ่มสืบพยานอีกครั้งในปี 2566
และในปี 2567 ศาลได้พิพากษาจำเลยทั้ง 11 คนกระทำความผิดซึ่งมีทั้งทหารกองประจำการและทหารนอกกองประจำการ ที่อยู่ภายในเรือนจำ ที่ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพลทหารยุทธกินันท์ โดยอ้างว่ามีความผิดในข้อหาไม่ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา จึงรุมทำร้ายจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา