ข่าว

อสส. สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวก หลอกเงิน “เจ๊อ้อย” พร้อมชดใช้กว่า 111 ล้าน

อสส. สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวก หลอกเงิน “เจ๊อ้อย” พร้อมชดใช้กว่า 111 ล้าน

30 ม.ค. 2568

อัยการสูงสุด สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวกรวม 7 คน ร่วมกันฉ้อโกง-ฟอกเงิน หลอก "เจ๊อ้อย" พร้อมสั่ง'ชดใช้กว่า 111 ล้าน

30 ม.ค. 2568 นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมานั้น เกี่ยวกับคดีที่นางสาวจตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย แจ้งความดำเนินคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม , นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือ เมียทนายตั้ม , นางสาวปิณฑิรา การิวัลย์ หรือ พี่สาวภรรยาทนายตั้ม และพวก ในคดีฉ้อโกงเจ๊อ้อย และเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา

 

ล่าสุดสำนวนคดีนี้เป็นความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทยที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุงมีคำสั่งดังนี้
 

1. สั่งฟ้องทนายตั้ม ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกง โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400)

 

ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ)

, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60, 
 

2. สั่งฟ้อง นางปทิตตา ภรรยาทนายตั้ม และ นางสาวปิณฑิรา พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60   

3. สั่งฟ้อง นายนุวัฒน์ ยงยุทธ ผู้ต้องหาที่ 3 และนางสาวสารินี นุชนารถ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,        

4. สั่งฟ้อง นางสาวแก้วสวรรค์ สุขผล ผู้ต้องหาที่ 6 และนางสาวมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 7 (ทั้งคู่เป็นพนัดง่นขายรถเบนซ์) ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265 

5. ขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 30 ม.ค. 2568 ผู้ต้องหาที่ 6, 7 พร้อมทนายเดินทางมาฟังคำสั่งทางพนักงานอัยการคดีพิเศษ นำตัวไปฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาเเล้วในส่วนผู้ต้องหารายอื่นอยู่ในอำนาจคุมตัวของศาลทั้งใน ส่วนที่ได้ประกันเเละไม่ได้ประกัน  เมื่อทางศาลอาญาได้รับคำฟ้องก็จะมีหมายเรียกหรือเบิกตัวจำเลยมาอ่านคำฟ้องอัยการโจทก์ให้ทราบเเละสอบคำให้การต่อไป

 

สำหรับคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งกฎหมายให้อำนาจอัยการสูงสุดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือมีอำนาจตั้งพนักงานสอบสวน โดยมีการตั้งพนักงานสอบสวนจาก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.ตรี สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หัวหน้าพนักงานสอบสวน เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ เเละอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร จึงให้อัยการสำนักงานการสอบสวนเข้าร่วมสอบสวนกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทางร.ต.อ.โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน จึงมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการร่วมทำการสอบสอบกับพนักงานสอบสวน โดยมีนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นหัวหน้าคณะทำงานร่วมกันทำสำนวนจนอัยการสูงสุด(คดีนอกราชฯ)เเละอัยการคดีพิเศษสั่งฟ้องในวันนี้
 

ต่อมาในช่วงบ่ายพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ1 ได้นำสำนวนมายื่นฟ้อง ทนายตั้มกับพวก รวม7 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก โดยศาลอาญารับฟ้อง คดีไว้พิจารณา เป็นคดี อทย.109/2568 และนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งเจ็ดวันที่  7 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

 

อสส. สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวก หลอกเงิน “เจ๊อ้อย” พร้อมชดใช้กว่า 111 ล้าน อสส. สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวก หลอกเงิน “เจ๊อ้อย” พร้อมชดใช้กว่า 111 ล้าน

อสส. สั่งฟ้อง ทนายตั้ม-เมีย เเละพวก หลอกเงิน “เจ๊อ้อย” พร้อมชดใช้กว่า 111 ล้าน