
โรม แฉ 3 ปี เข้า-ออกประเทศ ไร้ "ไบโอเมตริกซ์" บันทึกอัตลักษณ์กว่า 17 ล้านคน
โรม เผยข้อมูลมี 17 ล้านคนเข้า-ออกประเทศ ไร้ "ไบโอเมตริกซ์" บันทึกข้อมูลอัตลักษณ์ หากอาชญากรเข้ามาก่อเหตุ ออกไป แค่เปลี่ยนสัญชาติ กลับเข้ามาใหม่ได้อีก
กรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลระบบ "ไบโอเมตริกซ์" แต่ กมธ.รับทราบตั้งแต่ปี 2567-2569 รวม 3 ปีเต็ม จะไม่มีการใช้ระบบไบโอเมตริกซ์อีกแล้ว เพราะมีการปล่อยให้ใบอนุญาตหมด นั่นหมายความว่า โอกาสที่จะมีความผิดพลาด และมีนักท่องเที่ยวสีเทาๆ เข้าประเทศไทยและใช้ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่านหรือมาก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น
ล่าสุด นายรังสิมันต์ โรม โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กยืนยัน ตลอดปี 67 ทั้งปี และจนถึงวันนี้ไม่มีการเก็บไบโอเมตริกซ์จริง เป็นการเก็บแบบถ่ายรูปเท่านั้น ไม่ใช่ไบโอเมตริกซ์ แล้วระบบใหม่ที่ ตม. จะได้รับมาใช้ก็อาจจะต้องรอมากถึง 29 เดือน (ซึ่งยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้าง อาจจะต้องรอนานมากกว่า 29 เดือนด้วยซ้ำ) ที่ผ่านมานับตั้งแต่ไลเซ็นต์หมดอายุ มีคนเข้าออกประเทศไทย 17 ล้านคนโดยไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ หรือ Biometrics
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหลายคนก็ไม่ทราบ เพราะ ยังคงใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ราวกับเป็นการเก็บ Biometrics แต่ในความเป็นจริงคือ เป็นการเก็บด้วยภาพ คือ เป็นภาพใบหน้าคน และภาพลายพิมพ์นิ้วมือ ถ้านึกไม่ออกให้นึกว่า คุณไปพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือที่โรงพัก ซึ่งเขาจะมีลูกกลิ้งดำๆให้พิมพ์ลายนิ้วมือลงกระดาษ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปอันนั้นเก็บเอาไว้ สภาพเป็นแบบนั้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สมมุติว่านาย A สัญชาติจีน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ได้ก่อปัญหาอาชญากรรม หลังจากนั้นได้หลบหนีออกนอกประเทศ ตำรวจได้พบเจอลายพิมพ์นิ้วมือของนาย A พบกล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพนาย A ไว้ได้ จึงได้มีการสั่งการว่าหากนาย A ปรากฏตัวอีกครั้งที่สนามบินก็ให้ทางตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวเอาไว้ ปรากฏว่านาย A ได้ไปซื้อสัญชาติอื่น เช่น วานูอาตู มีพาสปอร์ตเล่มใหม่พร้อมเปลี่ยนชื่อ นาย A กลับเข้ามาที่ประเทศไทยอีกครั้ง ระบบของตรวจคนเข้าเมืองจะไม่สามารถนำภาพถ่ายที่เพิ่งถ่ายรูปนาย A ไปตรวจสอบกับรูปพรรณสัณฐานเดิมได้เพราะนาย A ถือพาสปอร์ตเล่มใหม่พร้อมสัญชาติใหม่และชื่อใหม่แล้ว เนื่องจากไม่เคยมีการบันทึกอัตลักษณ์มาก่อน ระบบจะไม่สามารถตรวจสอบได้เลย
ถ้าใครย้อนกลับไปฟังที่ตรวจคนเข้าเมืองมาชี้แจงต่อกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ จะทราบว่าผู้แทนของตรวจคนเข้าเมืองได้ชี้แจงว่ามีความพยายามพูดคุยเพื่อแก้ปัญหานี้มาแล้ว 7 ครั้ง (หมายความว่าตรวจคนเข้าเมืองทราบดีว่ามีปัญหานี้) แต่ผู้บังคับบัญชาก็หาได้นำพาไม่
นี่คือความล้มเหลวอย่างถึงที่สุดขององค์กรตำรวจ ที่ปล่อยให้เกิดการเดินทางเข้าออกประเทศโดยเฉพาะคนต่างชาติที่อาจจะเป็นแก๊งอาชญากรข้ามชาติแต่แฝงตัวในคราบของนักท่องเที่ยวโดยไม่มีการบันทึกอัตลักษณ์ ผมเชื่อว่าจุดอ่อนตรงนี้คงเป็นสาเหตุไม่มากก็น้อยที่ทำให้อาชญากรข้ามชาติ กลุ่มสีเทาดำทั้งหลายถึงอยู่ในประเทศไทยอย่างเต็มบ้านเต็มเมือง ยิ่งไปกว่านั้นการกำจัดพวกนี้ก็ทำได้ยาก เพราะความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานของรัฐ ผมขอเรียกร้องไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรองนายกรัฐมนตรีท่านภูมิธรรม ตรวจสอบเรื่องนี้นี่คือปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งจัดการเราต้องอุดช่องโหว่ตรงนี้ และท่านต้องตรวจสอบดีๆว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่บอกกับท่านว่าคนจีนที่ส่งกลับไปจีนว่ามีการเก็บอัตลักษณ์ อาจจะไม่ได้มีการเก็บจริงๆ ผมยังสงสัยจริงๆว่าในอนาคตพวกนี้อาจจะกลับมาที่ประเทศไทยได้อีกครั้ง
อย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นแดนสวรรค์ของพวกสีเทาไปกว่านี้เลย