
บอร์ดดีเอส รับคดีฟอกเงิน "ฮั้วเลือกสว." เป็นคดีพิเศษ มติ 11 : 4 งดออกเสียง 3
ผลการประชุมบอร์ดดีเอสตามคาด รับคดีฟอกเงิน "ฮั้วเลือกสว." เป็นคดีพิเศษ ด้วยมติ 11 : 4 งดออกเสียง 3 ส่วนคดีเลือกตั้งเป็นหน้าที่ กกต.
6 มี.ค. 2568 ภายหลังการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ส่วนคณะกรรมการ ประกอบด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองประธานกรรมการ โดยมีวาระสำคัญ กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เป็นคดีพิเศษหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ประเด็นที่ 1 การประชุมในวันนี้ทางบอร์ด กคพ. พิจารณาข้อเท็จจริงเนื่องจากมีผู้มาร้องกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยทางบอร์ดวันนี้ไม่ได้พิจารณาในกระบวนการเกี่ยวกับการเลือกสว. แต่ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การร้องทุกข์มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการ "ฟอกเงิน" ซึ่งมีลักษณะเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายกับการได้มาซึ่ง สว. ที่ระบุว่า การใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้เลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครเป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย ทางบอร์ดขอย้ำว่า การพิจารณาคดี เป็นคดีพิเศษครั้งนี้ผ่านการพิจารณาของบอร์ดที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายที่ ไม่ได้มาจากการตัดสินใจโดยคนใดคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด
2. ไม่ได้เป็นการยุ่งเกี่ยวอำนาจและหน้าที่ของ กกต. ซึ่ง กกต. ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการดูแลการเลือกตั้ง กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องการดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับบุคคลที่กระทำความผิดตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ดังนั้นเป็นการทำงานในลักษณะประสานงานร่วมกัน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายของตนเองที่แตกต่างกันจะมีเป้าหมายเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า ทางดีเอสไอได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นนิ่งเฉยก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผลเสียจะเกิดกับประชาชน
3.การที่ทางดีเอสไอ ได้รับเรื่องนี้ไว้แต่ผู้กล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงจะต้องมีกระบวนการการสืบสวนสอบสวนตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจะต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด โดยในที่ประชุมมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 18 คน มีผู้ลาประชุม 3 คน และอีก 1 คนได้เซ็นชื่อเข้าร่วมประชุมแต่ขอออกจากที่ประชุมก่อน ซึ่งมติชี้ขาดฐานคดีฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 (1) ตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งตามบอร์ด กคพ. จะโหวตตามเสียงข้างมาก
โดย ทั้ง 18 คนมีมติรับเป็นคดีพิเศษ 11 คน ไม่เห็นด้วย 4 คน งดออกเสียง 3 คน
ส่วนตามมาตรา 21(2) ตามเสียง 2 ใน 3 ในที่ประชุม ซึ่งไม่ได้เข้าเงื่อนไขดัวกล่าว ทั้งนี้หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. 2561 มาตรา 77 วรรคหนึ่ง อันอยู่ในหน้าที่และอำนาจของกกต.ให้แจ้งต่อคณะกรรมการ กกต.ทราบ เพื่อพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าในการพิจารณาในเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของบุคคลหรือการเมือง เราพิจารณาตามข้อกฎหมายแท้ๆ เราทราบดีว่าแต่ละท่านก็ต้องกังวลใจ ถ้าเราทำอะไรไม่ถูกไม่ควรมันจะมีผล ซึ่งเป็นความในใจที่ไม่ได้เป็นปัญหาในการตัดสินใจของเรา แต่เราจะทำในสิ่งที่รอบคอบมากที่สุดในการพูดคุยกับทุกฝ่าย ผลออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น และขณะนี้ก็เป็นเพียงแค่กระบวนการที่รับมาเพื่อจะสืบสวน สอบสวน ทั้งหมดก็อยู่ที่ศาลยุติธรรมจะต้องเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้ายเราไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดความผิด
ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หลังจากมีการรับเป็นคดีพิเศษ จะเชิญพนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และอำนวยความยุติธรรม และจะตั้งคณะทำงานสอบสวนเพื่อนำไปสู่การสอบสวน ทั้งนี้ มีการประสานข้อมูลกับ กกต. อยู่แล้วเพราะที่ผ่านมาร่วมกันทำงานกันมาตลอด เพราะข้อหาฟอกเงินผิดอาญาอื่น ไม่จำเป็นต้องเชิญผู้แทน กกต. ส่วน สว. มีการแสดงความเห็นว่า ได้มาโดยชอบและไม่ได้ไปทำผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งกระบวนการได้มาซึ่ง สว. มีการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มีผู้มาร้องและกระทบต่อความมั่นคง ถ้าเราไปครอบงำก็จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ดีเอสไอ ทำเฉพาะกรณีความผิดเกี่ยวกับฟอกเงิน และอาจขยายผลเกี่ยวกับคดีอาญาอื่น เช่น อั้งยี่ แต่ถ้าหากกลุ่ม สว. อยากมาให้การแสดงความบริสุทธิ์ เราก็พร้อมที่จะรับฟัง
ทั้งนี้ภายหลังการแถลงข่าว นายภูมิธรรม ได้เดินลงไปบริเวณชั้น 1 ของกระทรวงยุติธรรมและได้พบกับกลุ่มอดีตสว.และ สว.สำรอง ที่มารอให้กำลังใจบอร์ด กคพ.
พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว สว.สำรองและอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบดอกไม้ ขณะที่นายภูมิธรรมขอบคุณที่มาให้กำลังใจ การประชุมครั้งนี้คำนึกถึงข้อเท็จจริงและความเป็นจริง ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ พร้อมชี้แจงว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 2 เพราะต้องการให้เกิดความยุติธรรม ขณะนี้ดีเอสไอดำเนินการไต่สวนและสอบสวน เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏและ ศาลจะเป็นผู้มีอำนาจชี้ขาดเอง ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันนิติบัญญัติ แต่กำลังคำนึง ถึงตัวบุคคลที่ก่อปัญหาให้ชัดเจนแล้วเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ
ขณะที่ พล.ต.ท.คำรบ ระบุว่า หลังจากนี้ กกต. จะต้องไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทางกลุ่มก็จะไปติดตาม การที่กลุ่มพวกเราออกมาเคลื่อนไหว วันนี้พวกเราก้าวข้ามคำว่า "ตัวสำรอง จะได้เป็น ไม่ได้เป็น" เนื่องจากเราทราบว่า มีการกระทำผิดของกลุ่มแก๊งต่างๆที่ใหญ่มาก ทำให้เกิดภัยต่อบ้านเมืองอย่างยิ่ง จึงถือว่าเป็นภารกิจสำคัญต้องดำเนินการตามกฎหมายและเอาตัวคนทำผิดมาดำเนินการ
ส่วนผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบกับพรรคการเมืองไหน พวกท่านก็ต้องยอมรับผล ส่วนกลุ่มตนเองจะมีโอกาสได้เป็น สว. ตัวจริงหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้