
เพื่อนบ้านใจโหด ตีหมาจนดับ ก่อนชำแหละทำเนื้อแดดเดียว
เจ้าของหมาเข่าแทบทรุด หมาสุดที่รักหายไป กลับเจอถูกชำแหละ เตรียมทำเนื้อแดดเดียวในบ้านเพื่อนบ้าน วอนหยุดเถอะ ของกินมีเยอะแยะ
เกิดเหตุเพื่อนบ้านใจโหดก่อเหตุยิงหมาและตีหมาจนเสียชีวิต จากนั้นได้นำไปชำแหละแล้วนำไปทำเนื้อแดดเดียว ขณะที่ทาง มูลนิธิ วอช ด๊อกไทยแลนด์ ประสาน ตำรวจ สภ. อรัญประเทศเพื่อดำเนินคดี ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความหดหู่ใจให้กับคนรักหมายิ่งนัก
หลังจากนั้นผู้สื่อได้เดินทางไปยังบ้านของนายธวัชชัย ถาวรสิน อายุ 43 ปี ม.1 ต.หันทราย อ. อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าของน้องหมาตัวดังกล่าว คือ "น้องชมพู่"
นายธวัชชัย เล่าว่า ตนเองเป็นคนรักหมามาก เลี้ยงไว้ทั้งหมด 4 ตัว ปกติ ก็จะปล่อยให้มันวิ่งเล่นเป็นประจำ จนกระทั่งช่วงเช้าของ วันที่ 24 เม.ย. ทีผ่านมา ตนเองไม่อยู่บ้าน แต่แฟนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เสียงมาจากบ้านผู้ก่อเหตุ จากนั้นหมาของตนก็พากันวิ่งแตกตื่นกลับมาบ้าน แต่ปรากฎว่าไม่เห็น "เจ้าชมพู่" วิ่งกลับมาในใจก็ภาวนาว่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับน้องชมพู่เลย และตนเองตัดสินใจเดินไปตามหาน้องชมพู่ที่บ้านหลังดังกล่าว พบกับนายแสวง อายุ 68 หรือ ตาน้อย เพื่อนบ้าน ตนเองก็ได้ถามว่าเห็นหมาของตนวิ่งมาทางนี้บ้างมั้ย แต่ตาน้อยบอกว่า ไม่เห็นหน้าตาเฉย แล้วก็รีบขับรถออกไป
จากนั้นภรรยา ของผู้ก่อเหตุออกมา ตนเองก็ถามว่า เห็นหมาของตนเองมั้ย ยายบอกว่า ไม่เห็น ทันใดนั้น ตนเองก็หันไปเห็นชิ้นเนื้อถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ตากไว้บนแผ่นสังกะสี ตนเองคิดเลยว่าต้องเป็นน้อง "ชมพู่" หมาของตนอย่างแน่นอน แต่ทางด้าน ภรรยาผู้ก่อเหตุตอบมาว่าเป็นเนื้อวัว ตนเองไม่เชื่อ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เข่าแทบทรุด เมื่อเห็นขนและลิ้นของน้องชมพู่หมาสุดรักของตน วินาทีนั้นตนทำอะไรไม่ถูก ร้องไห้โฮออกมา ด้วยความสงสาร จึงได้หันไปถามภรรยาผู้ก่อเหตุว่า ทำไมต้องฆ่ามัน ทำแบบนี้ทำไม แต่ภรรยาผู้ก่อเหตุตอบว่า ไม่รู้เรื่อง ตนเองจึงตัดสินใจเก็บสิ้นส่วนของน้องชมพู่ ใส่ถุง แล้วเดินร้องไห้กลับมาที่บ้าน
เมื่อตั้งสติได้ จึงไปแจ้งความที่ สภ.อรัญปรเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งตนเองคิดว่าการกระทำแบบนี้ มันโหดร้ายทารุนมากๆ กับหมา ของใครใครก็รัก ซึ่งตนเองเลี้ยงมาด้วยความรักความผูกพันธ์ ก็เหมือนสมาชิกในครอบครัว คนหนึ่งก็ว่าได้ ซึ่งตอนนี้น้องชมพู่ได้จากไปแล้ว คงเหลือน้องไข่ตุ๋น ซึ่งเป็นลูกของน้องชมพู่ไว้ดูต่างหน้า และในเย็นนี้ตนเองก็จะได้นำชิ้นส่วนของน้องชมพู่ไปฝังและขอให้ไปเกิดใหม่ในพบภูมิที่ดีกว่านี้
นายธวัชชัย จึงขอร้องกับกลุ่มคนที่ชอบกินเนื้อหมา "หยุดเถอะคับ ของกินมีเยอะแยะ เพราะหมาถือว่าเป็นเพื่อน ที่มีความซื่อสัตย์ที่สุดในโลกแล้ว ผมสงสารมัน"
ด้าน น.ส.ธนันพัชธ์ ถาวรกุล อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนและอาศัยอยู่บริเวณระแวกนั้น เล่าถึง พฤติกรรมของผู้ก่อเหตุว่า เป็นคนเงียบๆไม่ ไม่ค่อยสุงสิงคอยกับใครและก็รู้เหมือนกันว่า ผู้ก่อเหตุ ชอบกินหมา และตีหมาฆ่าหมาอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาทำแบบนี้กับคนที่คุ้นเคยกันดีแบบนี้ ซึ่งผู้ก่อเหตุมักจะขับรถผ่านมาอยู่บ่อยๆ ก็ทักทายกันดี แต่วันเกิดเหตุ รู้สึกเศร้าใจ ตนเองยืนยันว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจริงๆ 1 นัด เพราะว่าพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่โล่ง เลยทำให้ได้ยินเสียงชัดเจน ตนเองก็รู้สึกเห็นใจและเสียใจกับเจ้าของหมามาก ฝากถึงคนที่นิยมกินเนื้อหมาว่า ให้หยุดเถอะ เพราะหมามันเปรียบแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซื่อสัตย์กับมนุษย์มากที่สุด เปรียบแล้วเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ซื่อสัตย์มากๆ
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของ นายแสวง หรือ ตาน้อย และ นายประสิทธิ์ 56 ปี หรือ นายอึ่ง ได้ยอมรับสภาพกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ช่วยกันฆ่าเจ้าน้องชมพู่ หมาตัวดังกล่าวจริง จากนั้นพนักงานสอบสวนนำตัวทั้ง 2 มาชี้จุดที่ได้นำหัวหมามาโยนทิ้ง พร้อมลงไปงมหาหัวหมา ซึ่งทั้งสองอ้างว่านำมาโยนทิ้งในบ่อหลังบ้าน หลังจากชำแหละชิ้นส่วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวสอบถามตาน้อยว่า กินหมาจริงมั้ย ตาน้อยตอบแบบเสียงดังฟังชัดว่า "กินจริงๆ" และตนเองได้ใช้ไม้ตี มันจนล้มลง แล้วตีซ้ำจนมันตาย แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้ยิงและยังบอกอีกว่าตนเองกินเป็นประจำและฆ่าหมาเป็นเรื่องปกติ เพราะมันเข้ามา กินเป็ดและไก่ของตน
ผู้สื่อข่าวได้เดินสำรวจบริเวณดังกล่าว ไม่พบเสียงเป็ดหรือเสียงไก่ พบแต่เล้าเป็ด ไม่มีเสียงเป็ดแต่อย่างใด พบแต่ซากหัวหมาที่อยู่ในบ่อ ซึ่งเป็นซากเก่าของหมาที่เสียชีวิตที่ผ่านมา
ด้าน พ.ต.อ.ชูชาติ คงเมือง ผกก.สภ.อรัญประเทศ มอบหมายให้ พ.ต.ท.กิตติพัศ ขจรพงศ์ชัยกุล สว.(สอบสวน) สภ.อรัญประเทศ ลงพื้นตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากตรวจสอบผู้ต้องหาทั้ง 2 รับสารภาพว่า ฆ่าหมาจริง จึงได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหา ในความผิดฐาน "ร่วมกันกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมสัตว์" และ "ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์" อันเป็นความผิดต่อส่วนตัว และเป็นความผิดอันยอมความได้ โดยผู้กล่าวหาประสงค์ที่จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยมีโทษจำ 2 ปี และปรับเป็นเงิน 40,000 บาท