ปลุกเศรษฐกิจ "ด่านช่องจอม" จัดใหญ่มหกรรมค้าชายแดน สุรินทร์ โมเดลเฟส 2
กมธ.การเงินการคลังฯสภาผู้แทน ผนึกสภาเอสเอ็มอีไทยและ จ.สุรินทร์ จัดใหญ่มหกรรมการค้าชายแดน "สุรินทร์ โมเดลเฟส2” หวังยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสู่สากล พร้อมมุ่งใช้ "ด่านช่องจอม" เป็นเส้นทางหลักการขนส่งสินค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สมบัติ ศรีสุรินทร์ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการติดตามระบบการเงิน การคลังและระบบเศรษฐกิจ ในคณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ และประธานจัดงานโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชาหรือ "สุรินทร์ โมเดล เฟส2” เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ สภาผู้แทนฯร่วมกับสภาวิสาหกิจชุมชนขนาดกลางและขนาดย่อมไทย หรือสภา SPC จ.สุรินทร์หน่วยงานในเครือข่ายภาครัฐ และภาคเอกชนเตรียมงานใหญ่ ณ ด่านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ระหว่าง23-25 ก.ย.65 ภายใต้ชื่อ สุรินทร์ โมเดล เฟส 2 เนื่องจากสุรินทร์เป็นจังหวัดชายแดนที่มีเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา โดยมีประตูที่เป็นด่านชายแดนถาวรชื่อว่า "ด่านช่องจอม" อยู่ในอ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
โดยด่านแห่งนี้เปิดเป็นด่านถาวรมากว่า10 ปีแล้ว แต่ว่าศักยภาพของ "ด่านช่องจอม" ที่เป็นประตูเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชาและต่อไปยังเวียดนาม ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอีสานได้ทั้งหมด ไม่เฉพาะ จ.สุรินทร์ เพียงแต่ยังไม่เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วไปมากนัก ทำให้โอกาสเกิดเศรษฐกิจที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ตามมากนัก
"เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ เห็นว่าประเทศของเราในยามที่โลกมีปัญหาเรื่องของสงครามการค้า มีการกีดกันทางการค้า มีการตั้งกติกาต่าง ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงการขนส่งก็มีปัญหา
กรรมาธิการเราก็เห็นว่าวิธีที่ช่วยเศรษฐกิจได้มากคือช่วยผลักดันประเทศไทยสามารถส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบเข้ามาในประเทศเรา โดยการส่งเสริมให้เข้าใจและรับรู้ถึงศักยภาพของด่านชายแดนของประเทศไทยทั้ง 36 แห่ง ถ้าประเทศไทยสามารถดำเนินการทางการค้าและรัฐบาลให้ความสำคัญและส่งเสริมก็จะช่วยเศรษฐกิจของประเทศได้มาก "นายสมบัติเผย
ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เผยต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ จึงอยากผลักดันช่องจอมเป็นด่านนำร่อง และต้องการผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จเนื่องจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว กรรมาธิการการเงินการคลังฯได้ร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการผลักดันการค้าชายแดนให้มีศักยภาพตามที่ควรจะเป็น จึงได้เชิญหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการร่วมกันในการจัดงาน เปิดบ้านเมืองสุรินทร์ ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
เนื่องจาก จ.สุรินทร์ มีความเหมาะสมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพพื้นที่ตั้งอยู่ห่างจาก จ.เสียมเรียบของประเทศกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรเท่านั้น สามารถขนส่งสินค้าจากไทยผ่านไปยังกรุงพนมเปญ เมืองหลวงกัมพูชาและทะลุไปโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น หากใช้ช่องทางนี้สินค้าจากภาคอีสานของไทยจะสามารถเดินด้วยระยะทางที่ใกล้ที่สุด เป็นการย่นระยะการเดินทางโดยไม่ต้องอ้อมไปทางด่านปอยเปต จ.สระแก้ว เหมือนทุกวันนี้
ปกติเวลาจะไปกัมพูชาทีไรต้องวิ่งอ้อมไปทางสระแก้ว ถ้าอยู่อีสานมาทาง "ด่านช่องจอม" ใกล้กว่าเยอะเพราะจากช่องจอมไปหานครครวัด จ.เสียมเรียบระยะทาง 150 กิโลเมตร เดี๋ยวนี้ถนนหนทางดีแล้วลาดยางตลอด รถเก๋วิ่งชั่วโมงเดียว ถ้าเป็นรถตู้ 2 ชั่วโมง จากเสียมเรียบวิ่งเข้าพนมเปญอีก 2 ชั่วโมงจากพนมเปญไปโฮจิมินห์ เวียดนาม ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น ประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ สภาผู้แทนฯ กล่าว
นายสมบัติ เผยต่อว่า วันนี้ที่ "ด่านช่องจอม" ยังมีการซื้อขายสินค้ากันปกติผ่านช่องทางนี้ไปยังกัมพูชาและเวียดนาม ทั้งไก่บ้าน สุกร แพะ เนื้อโควากิวที่เลี้ยงกันมากใน จ.สุรินทร์และหลายจังหวัดในภาคอีสาน ขณะเดียวกันก็จะมีสินค้าจากเวียดนามและกัมพูชาส่งกลับมายังประเทศไทย โดยผ่านทางด่านช่องจอมนี้เช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาการขนส่งผ่านช่องทางนี้ยังมีจำนวนไม่มากพอเมื่อเทียบกับด่านอื่น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากยังมีคนรู้จักน้อย
ดังนั้นการจัดงาน "สุรินทร์ โมเดลเฟส 2" ครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการรู้จักด่านแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ดร.ศุภชัย แก้วศิริ ประธานสภาวิสาหกิจชุมชนขนาดกลางและขนาดย่อมไทยหรือสภาเอสเอ็มอีไทย กล่าวเสริมว่า การเป็นเจ้าภาพร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ สภาผู้แทนราษฎร จ.สุรินทร์ และสภาเอสเอ็มอีไทย ในการจัดงาน”สุรินทร์ โมเดลเฟส2” ครั้งนี้ว่า สภาเอสเอ็มไทยต้องการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในหลากหลายรูปแบบ ภายใต้โครงการ ”เอสเอ็มอี สมาร์ทโปรวิ้น” ที่ต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยได้มีโอกาสพัฒนาในเรื่องของการตลาด มีการแลกเปลี่ยนสินค้าภายในประเทศและการค้าชายแดนร่วมกัน
จากยอดสถิติในปี 2564 ที่ผ่านมา ในขณะที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ก็ยังมีตัวเลขยอดการค้าโดยรวมของทุกด่านทั่วประเทศทั้ง 36 แห่งประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นก็จะทำให้แต่ละด่านสร้างมูลค่าที่ดีให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายกลาง รายย่อยสามารถที่จะมีส่วนร่วมในยอดการค้าเหล่านี้ได้
สภาเอสเอ็มอีไทย ย้ำด้วยว่า เอสเอ็มอี สมาร์ทโปรวิ้น ที่จะช่วยผู้ประกอบการรายย่อยนั้นได้มุ่งเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การส่งเสริมใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การหาช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์และการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
โดยงาน สุรินทร์ โมเดลเฟส2 เราจะมุ่งเป้าใน 3 เรื่องนี้เป็นหลัก โดยผ่านการสัมมนาในหัวข้อต่าง ๆ นอกจากยังสร้างโอกาสให้กลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ในการจัดหาบูธแสดงสินค้าฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
เราต้องช่วยกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ให้เขาอยู่รอดในวงจรธุรกิจต่อไป เพราะถ้าเขาอยู่ได้การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากก็จะมีความเข้มแข็ง จากข้อมูลตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งประเทศขณะนี้มีอยู่ประมาณ 3 ล้านรายในขณะที่มีการจ้างแรงงานมากถึง 13 ล้านคน เมื่อเศรษฐกิจระดับฐานรากเข้มแข็ง จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินภายในประเทศตามมาด้วย ประธานสภาเอสเอ็มอีไทย ย้ำทิ้งท้าย
ติดตามคมชัดลึก ได้ที่
YouTube:https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8 สาขา Popular Vote ได้ที่นี่ https://awards.komchadluek.net/#)