'อ้อ ปิยจิต' บอสสาวคนเก่ง ผู้มุ่งมั่นนำพา 'เซ็ปเป้' สู่แบรนด์ระดับโลก
ชั่วโมงนี้วงการธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม คงไม่มีใครไม่รู้จัก "อ้อ" ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) (CEO) หรือ SAPPE ผู้บริหารเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวรักอริยะพงศ์ ผู้มุ่งมั่นนำพา 'เซ็ปเป้' สู่แบรนด์ระดับโลก
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศิลปศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัย Sheffield ประเทศอังกฤษ และผ่านการอบรมหลักสูตร Director Accreditation Program จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย "อ้อ ปิยจิต" เริ่มทำงานในองค์กรด้านการเงินระดับโลก รวมกว่า 16 ปี แล้วจึงกลับมาช่วยบริหารธุรกิจของครอบครัว ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) เมื่อปี 2555 ในช่วงที่เซ็ปเป้กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยประสบการณ์การบริหารอย่างมืออาชีพ ส่งผลให้เธอนำพาเซ็ปเป้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2557 ได้อย่างสวยงาม ต่อมาปี 2558 เธอก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO พร้อมเดินหน้าเต็มสูบ ด้วยเป้าหมายการสร้างแบรนด์ไทยอย่าง “เซ็ปเป้” ให้เป็นที่รู้จักระดับโลก
สำหรับผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “เซ็ปเป้” ‘อ้อ ปิยจิต’ แจกแจงว่า มีผลิตรวมทั้งหมด 12 แบรนด์หลัก โดยแบ่งเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย
- น้ำผลไม้ อาทิ น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว แบรนด์โมกุ โมกุ ส่งขาย 98 ประเทศทั่วโลก
- เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ มีตัวแบรนด์ เซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์ ซึ่งเป็นเจ้าแรกในประเทศที่ทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้หญิงขึ้นมา เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
- functional powder มีกาแฟเพรียว คอฟฟี่ ที่ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนักเป็นแบรนด์เด่นๆ
- อาหารว่างเพื่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นประเภทเจลลี่
- เครื่องดื่มอื่นๆ เช่น พุดดิ้ง เอเนอร์จี้เจล เป็นต้น
"ทั้ง 12 แบรนด์หลักของเราเน้นส่งออกร้อยละ 75 และขายในประเทศอีกร้อยละ 25 อย่างแบรนด์อย่างโมกุ โมกุ ที่ผ่านมายังไม่เคยขายในประเทศเลย แต่ช่วงกลางปี 2566 นี้ตั้งใจจะนำมาขายในประเทศ เพื่อให้คนไทยได้ลองชิมกัน โดยจะเลือกเฉพาะร้านที่ค่อนข้างพรีเมี่ยมเนื่องจากราคาค่อนข้างสูง" บิ๊กบอสสาว อธิบายถึงผลิตภัณฑ์ทั้ง 5 ประเภทของเซ็ปเป้ก่อนจะหันมาบอกเล่าถึงหลักการทำงานของเธอ เมื่อต้องดูแลพนักงานกว่า 800 ชีวิตทั้งในส่วนของออฟฟิศและโรงงานผลิต
ในส่วนของการทำงาน แม้ว่า อ้อ ปิยจิต จะเป็นผู้บริหารระดับสูง แต่เธอให้ความสำคัญกับพนักงานทุกๆ คน โดยเปิดเปิดเวทีให้แสดงความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนแบบไร้ขีดจำกัด
"อ้อเปิดเวทีกับน้องๆ ทุกคนได้แสดงความสามารถของตัวเอง ไม่ได้ตีกรอบให้ปฏิบัติ ส่วนใหญ่ให้โอกาสให้แสดงฝีมือในแบบของเขา เพราะต้องการที่จะครีเอทเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานเพื่อให้มีช่องทางใหม่ๆ ในการทำงาน เพื่อทำให้บริษัทมีอะไรใหม่ๆ มีความสนุกสนาน และอีกอย่างที่ให้ความสำคัญมากๆ คือ ความสนุกสนานแบบทีมเวิร์ค เราต้องการให้ทุกคนมาทำงานเหมือนมาเล่นด้วยกัน เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา อย่างออฟฟิศที่นี่เราเรียกว่าเป็นสนามเด็กเล่น คือเปิดให้ทุกๆ คนมาเล่น มาร่วมสนุกด้วยกัน เล่นแล้วมีผลงานออกมาให้ทุกคนเห็น ให้ทุกคนได้ชื่นชม"
กว่าจะนำพา “เซ็ปป้” มาถึง ณ จุดนี้ อุปสรรคใหญ่คงไม่พ้นช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง อ้อ ปิยจิต สามารถนำพาพนักงานภายใต้การดูแล ฝ่าฟันวิกฤตนั้นมาได้อย่างสวยงาม
อ้อ ปิยจิต เล่าว่า ที่ผ่านมาได้เพราะมีทีมงานที่ดี รักและดูแลซึ่งกันและกันได้ดี มีความมุ่งมั่นและมีส่วนร่วมที่ดีในการทำงาน และช่วยกันขับเคลื่อนองค์กรไป เพราะช่วงโควิด-19 ระบาดต้องบอกว่าเรามีตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ การจัดการจึงค่อนข้างลำบากมาก ไม่ว่าจะเป็นสายเรือที่ต้องส่งสินค้าไปประเทศอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อโควิด จะทำอย่างไรให้สินค้าส่งไปได้ ทำอย่างไรให้สินค้าไปอยู่บนชั้นวางได้ เพราะทุกคนมีปัญหาหมด คือนอกจากเราต้องดูแลพนักงานแล้ว ก็ต้องดูแลคู่ค้าด้วย เพราะฉะนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ เพราะแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน มีช่วงหนึ่งที่เส้นทางเรือไม่เดินซึ่งมันนอกเหนือการควบคุม และเราต้องพยายามรับมือกับมันให้ดีที่สุดเพื่อพยายามส่งมอบสินค้าให้ไปถึงมือลูกค้า และดูแลว่าเขาจะไปต่ออย่างไรได้บ้าง
"ช่วงโควิดในส่วนขององค์กรก็ต้องปรับเยอะ อ้อเชื่อว่าเราเป็นบริษัทแรกๆ ที่ให้พนักงาน เวิร์ค ฟรอม โฮม เพราะเป็นห่วงพนักงานและครอบครัว ตอนนั้นเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนสำคัญมากในเรื่องการปรับตัว แผนกบุคคลต้องทำงานหนักมาก เราต้องแบ่งพนักงานเป็นทีมให้หัวหน้าแต่ละทีมช่วยกันดูแลลูกน้องของตัวเอง ต้องคอยเช็กด้วยว่าคนในทีมมีใครป่วยไหม ทุกเช้าจะมีคอลเช็กอินว่าทุกคนยังดีอยู่ไหม มีใครป่วยไหม ถ้ามีคนป่วยแผนกบุคคลต้องดำเนินการอย่างไร ต้องส่งยาอะไรไปให้บ้าง แต่ในส่วนของโรงงานเราไม่ได้ปิดเลย เพราะยังต้องส่งสินค้าอยู่ เรามองว่าช่วงนั้นสินค้าก็เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เราจะทำอย่างไรให้พนักงานไม่ป่วย หรือถ้าพนักงานป่วยเราต้องทำอย่างไร เหล่านี้เป็นมาตรการที่ต้องใช้ข้อมูลเยอะมากในการที่จะเข้าไปดูแลพนักงานแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันไป เราไม่มีลดพนักงาน รวมทั้งเงินเดือนยังจ่ายปกติที่หนักคือ HR ที่ต้องดูแลพนักงานหนักขึ้น" ผู้บริหารสาวอธิบายถึงสิ่งที่ทำให้เธอฝ่าฟันวิกฤตมาจนถึงวันนี้
นับจากนี้ไป บอสสาวแห่งเซ็ปเป้ บอกเสียงดังฟังชัดว่า เธอมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาบริษัท และสร้างตัวสินค้า โมกุโมกุ ให้เป็นแบรนด์ระดับโลกให้ได้
"ตอนนี้ โมกุโมกุ ได้รับความนิยมมากในเกาหลี ฝรั่งเศส และอีกหลายๆ ประเทศก็รู้จักแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามทำอยู่และจะพยายามทำให้สำเร็จ ซึ่งอ้อเชื่อว่าทุกคนในองค์กรของเราก็อยากเห็นสิ่งนี้เดียวกัน คือการสร้างแบรนด์โมกุโมกุให้เป็นโกบอลแบรนด์ให้ได้" บอสสาวกล่าวย้ำ
ความสามารถของผู้บริหารคนนี้ ยังคงฉายแววให้สังคมเห็นอย่างต่อเนื่อง การันตีด้วยรางวัลมากมายที่เธอได้รับจากองค์กรต่างๆ ถ้าจะไล่เรียงก็เรียกว่านับไม่ถ้วนทีเดียว ซึ่งทุกรางวัลล้วนแต่เป็นความภาคภูมิใจของเธอและทีมงานทั้งสิ้น แต่วันนี้เธอขอเล่าถึงรางวัลแรกที่ภูมิใจมากๆ และคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย คือ การได้รับเลือกเป็น “Young Rising Star CEO Award” เมื่อปี 2560 เป็นรางวัลที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบให้ผู้บริหารุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์โดดเด่น พร้อมเปิดโอกาสให้บุคลากรรุ่นใหม่ในองค์กรได้แสดงศักยภาพ และสร้างบรรยากาศการทํางานที่เปิดกว้างในด้านความคิดสร้างสรรค์เพื่อนําไปสู่องค์กรแห่งนวัตกรรม
"ตลอดหลายปีที่ก้าวเข้ามาทำงานตรงนี้ ได้รางวัลมาเยอะมาก หลังจากรางวัลแรกที่ได้รับก็ได้ราวัลมาตลอด อย่างปีนี้ได้เรื่อง Thailand sustaintibility company จากตลากหลักทรัพย์เช่นกัน และมีอีก 2 รางวัลที่ได้รับเมื่อปีที่แล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ คือ เราเป็นหนึ่งในลิสต์ของ 100 บริษัทในเอเชีย เป็น under 1 billion dollars company ซึ่ง ฟรอบส์ เอเชีย เป็นผู้จัดอันดับ อย่างในไทย เซ็ปเป้ ถูกจัดอันดับให้เป็น 13 บริษัทไทยที่เข้าไปอยู่ใน 200 ลิสต์จาก 20,000 บริษัท ทั่วเอเชียแปซิฟิก ให้เป็นบริษัทมหาชนยอดเยี่ยม บริหารธุรกิจองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาบริษัทให้เติบโตไปในช่วงเวลาที่มีวิกฤตทั่วโลก
และอีกรางวัลคือ Gender-Responsive Marketplace ในฐานะองค์กรที่เป็นพลังขับเคลื่อนผลักดันให้องค์กรภาคธุรกิจส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จากเวที UN Women 2022 Thailand WEPs Awards ด้วยองค์กรของเรามีพนักงานผู้หญิงและเพศทางเลือกอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว และสินค้าของเราเองในยุคแรกๆ พยายามที่จะเชิดชูเรื่องความมั่นใจของผู้หญิง เรื่องความสำเร็จของผู้หญิง พอเมื่อปีที่ผ่านมาเริ่มจะกระจายความเท่าเทียมให้มากขึ้น ว่าสินค้าไม่จำเป็นต้องสำหรับผู้หญิงนะ เราโปรโมทเรื่องสุขภาพ ผู้ชายก็ดื่มได้ เพศสภาพไหนก็ดื่มได้ ซึ่งทางยูเอ็นก็เห็นผลงานของเรา ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทของประเทศไทยเพียงไม่กี่บริษัทที่ได้รับเลือก" อ้อ ปิยจิต บอกกล่าวถึงที่มาของรางวัลที่เธอภาคภูมิใจ
ก้าวมาถึงวันนี้ บอสสาวคนสวยยอมรับว่า พอใจ และมีความสุขในระดับหนึ่งกับความสำเร็จที่ได้รับ แต่คงหยุดแค่นี้ไม่ได้ เพราะยังมีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาเป็นบททดสอบอยู่เสมอ ซึ่งเธอย้ำความมุ่งมั่นและตั้งใจว่าต้องทำให้ดีกว่านี้และดีขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายในการนำพาแบรนด์ไทยอย่าง “เซ็ปเป้” ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกนั่นเอง