ข่าว

'ศาลปกครองสูงสุด' ไม่รับคำฟ้อง 'อีสท์วอเตอร์' ร้องถอนผลประมูลท่อส่งน้ำ EEC

'ศาลปกครองสูงสุด' สั่งไม่รับคำฟ้อง 'อีสท์วอเตอร์' ปมร้องให้มีการเพิกถอนผลประมูลท่อส่งน้ำ EEC เนื่องจากไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน อ้างคุ้มครองประโยชน์สาธารณะไม่ได้ เพราะเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

 

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 88/2566 คดีหมายเลขแดงที่ 319/2566 ระหว่าง บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมธนารักษ์ ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา)

 

ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากศาลฯเห็นว่า อีสท์วอเตอร์ มิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน และไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น อุทธรณ์ของอีสท์วอเตอร์จึงฟังไม่ขึ้น

 

 

"….การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมธนารักษ์) มีคำสั่งแต่งตั้งและมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก เป็นเพียงการดำเนินการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้มีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ทางปกครองตามที่ได้รับมอบหมาย ตามนัยข้อ 34 ประกอบข้อ 27 ของกฎกระทรวงการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2564

 

 

การแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชน จึงเป็นเพียงการเตรียมการและดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง ด้วยการมีมติให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกต่อไป ซึ่งเป็นการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

 

 

โดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้เป็นผู้ออกคำสั่งทางปกครอง ด้วยการมีมติให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกอันเป็นมูลเหตุพิพาทในคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อันเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

 

ส่วนคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 636/2549 ที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างในอุทธรณ์นั้นเห็นว่า คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่า ผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ส่งผลให้ผู้ถูกสอบสวนต้องรอการเลื่อนชั้นเงินเดือนไว้ก่อน แม้จะไม่มีผลหรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดีในคดีดังกล่าว แต่ก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรืออาจเดือดร้อนอย่างมีนัยสำคัญ

 

 

ส่วนคำสั่งแต่งตั้งและคำสั่งแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ไม่ได้มีผลหรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดีในการยื่นข้อเสนอเข้ารับการคัดเลือกโครงการพิพาทแต่อย่างใด

 

 

ตามที่ผู้ฟ้องคดีอ้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.456/2558 ที่วินิจฉัยว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เป็นคำสั่งที่ออกโดยผู้ไม่มีอำนาจ อันมีลักษณะเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงส่งผลให้การสอบสวนของคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้ง รวมทั้งการดำเนินการที่ต่อเนื่องมาเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปในขณะเดียวกันนั้น

 

 

เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกตามหลักเกณฑ์ข้อ 25 วรรคหนึ่ง ของกฎกระทรวงการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2564 ซึ่งกำหนดว่า การคัดเลือกเอกชนโดยใช้วิธีประมูล เมื่อคณะกรรมการที่ราชพัสดุพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกคณะหนึ่ง

 

 

ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานเจ้าของโครงการ เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโครงการที่จะจัดหาประโยชน์จำนวนไม่เกินสองคน เป็นกรรมการ และผู้แทนหน่วยงานเจ้าของโครงการจำนวนหนึ่งคน เป็นกรรมการและเลขานุการ คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชอบด้วย ข้อ 34 ประกอบข้อ 25 ของกฎกระทรวงข้างต้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ได้รับความเดือดร้อนหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายจากคำสั่งดังกล่าว อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น

 

 

กรณีคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 3 ถึงข้อ 9 ที่ขอให้ศาลเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 ที่เห็นชอบบันทึกการต่อรองกับบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุด มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2564 ที่เห็นชอบให้เชิญบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ผู้ได้รับคะแนนประเมินสูงสุด มาเจรจาร่างสัญญาก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบ

 

 

มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2564 ที่เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขร่างสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2564 เห็นชอบร่างสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกและบันทึกการเจรจาเงื่อนไขร่างสัญญา

 

 

มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2564 เห็นชอบเงื่อนไขสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขการชำระค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565 รับรองมติการประชุมปรับปรุงภาคผนวกให้สอดคล้องกับร่างสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุดแก้ไข

 

 

มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2565 เห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาการดำเนินการและผลการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาที่ผ่านการเจรจากับผู้ได้รับการคัดเลือก และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาออกไปก่อน จนกว่าศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งกรณีผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1746/2564 นั้น

 

 

เห็นว่า กฎกระทรวงการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2564 ข้อ 32 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า เมื่อได้ผลการคัดเลือกเอกชนที่ผ่านการเจรจากับเอกชนซึ่งได้รับการคัดเลือกแล้ว ให้คณะกรรมการคัดเลือกรายงานการดำเนินการและผลการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาเช่าหรือสัญญาต่างตอบแทนอื่นที่ผ่านการเจรจากับเอกชนซึ่งได้รับการคัดเลือก และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาให้คณะกรรมการที่ราชพัสดุพิจารณาให้ความเห็นชอบ

 

 

มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (คณะกรรมการที่ราชพัสดุ) ข้างต้น เป็นเพียงการเตรียมการเพื่อจะดำเนินการขั้นตอนต่อไปด้วยการเจรจาต่อรองกับเอกชนผู้คัดเลือกที่คะแนนสูงสุด ร่างสัญญา และเลื่อนการพิจารณาผลการคัดเลือกเอกชนเป็นคู่สัญญาเพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครองด้วยการให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติให้ความเห็นชอบเอกชนรายใดรายหนึ่งเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายต่อไป

 

 

ขั้นตอนดังกล่าวจึงเป็นการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เช่นเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่อย่างใด

 

 

ส่วนคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ คร. 78/2564 ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างในอุทธรณ์ นั้น มติของคณะรัฐมนตรีในคดีนั้นเป็นการเห็นชอบให้มีการแก้ไขสัญญาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางด่วน ซึ่งรวมถึงค่าใช้บริการทางด่วนด้วย จึงเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและประโยชน์ส่วนรวม เมื่อผู้ฟ้องคดีในคดีดังกล่าวเป็นประชาชนผู้ใช้บริการ จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้ แต่การมีมติให้แก้ไขร่างสัญญาพิพาทในคดีนี้ เป็นเพียงร่างสัญญาที่ยังไม่มีการลงนาม และยังไม่มีผลบังคับใช้ระหว่างคู่สัญญา การบริการสาธารณะตามสัญญา จึงยังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีผลกระทบต่อประชาชนแต่อย่างใด

 

 

เมื่อผู้ฟ้องคดี ไม่ใช่ประชาชนผู้ที่ใช้ประโยชน์จากกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกโดยตรง แต่เป็นเพียงเอกชนผู้ที่มิได้รับคัดเลือกเท่านั้น จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อันจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงฟังไม่ขึ้น

 

 

กรณีคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 10 ที่ขอให้ศาลเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (คณะกรรมการที่ราชพัสดุ) ในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 ที่เห็นชอบผลการคัดเลือกให้บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นคู่สัญญาในการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ร่างสัญญาและเงื่อนไขสำคัญของสัญญา นั้น

 

 

เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า/บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กรมธนารักษ์ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในคดีของศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 1746/2564 โดยมีคำขอท้ายฟ้องข้อ 3 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติคณะกรรมการที่ราชพัสดุซึ่งพิจารณาให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนของคณะกรรมการคัดเลือกและกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565

 

 

การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ โดยมีคำขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 อีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาล ซึ่งต้องห้ามตามข้อ 36 (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

 

 

ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่าคดีก่อนผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าการออกประกาศเชิญชวนครั้งเดือน ก.ย. 2564 มีการแก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกเอกชนในสาระสำคัญและเป็นการแก้ไขอย่างมาก ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย แต่คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวน ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มิใช่ พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 จึงมิได้เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้น

 

 

เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1746/2564 โดยมีคำขอท้ายฟ้องข้อ 3 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนของคณะกรรมการคัดเลือกและกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 แล้ว

 

 

ผู้ฟ้องคดีสามารถกล่าวอ้างถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของมติดังกล่าวด้วยเหตุการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวน มิได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งผู้ฟ้องคดีสามารถกล่าวอ้างเหตุดังกล่าวมาในคำฟ้องหรือยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามนัยข้อ 62 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

 

 

การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ โดยมีคำขอท้ายฟ้องอย่างเดียวกันกับคดีหมายเลขดำที่ 1746/2564 ของศาลปกครองกลางอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลซึ่งต้องห้ามตามข้อ 36 (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงฟังไม่ขึ้น

 

 

สำหรับคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 11 ที่ขอให้ศาลเพิกถอนมติ คำสั่ง หรือการกระทำใดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำขอข้อ 1 ถึงข้อ 19 นั้น

 

 

เห็นว่า เมื่อศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ถึงข้อ 9 ผู้ฟ้องคดี ไม่ใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ส่วนคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 10 เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลซึ่งต้องห้ามตามข้อ 36 (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

 

 

ศาลจึงไม่อาจรับคำฟ้อง ข้อ 11 ที่ขอให้ศาลเพิกถอนมติ คำสั่ง หรือการกระทำใดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นผล สืบเนื่องมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามคำขอข้อ 1 ถึงข้อ 10 ไว้ด้วยเช่นกัน อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงฟังไม่ขึ้น

 

 

สำหรับคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องข้อ 12 ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏิบัติตามบทเฉพาะกาลแห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 นั้น

 

 

เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีฟ้องโต้แย้งว่าการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 ก.ย. 2564 ตลอดจนถึงการมีมติให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 มิได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562

 

 

ซึ่งในประเด็นเดียวกันนี้ ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1756/2564 โดยมีคำขอท้ายฟ้องในข้อ 2 ขอให้ศาลเพิกถอนประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 ก.ย. 2564 พร้อมเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุน

 

 

และข้อ 3 เพิกถอนมติคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ซึ่งพิจารณาให้ความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนของคณะกรรมการคัดเลือกและกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 ซึ่งผู้ฟ้องคดีสามารถกล่าวอ้างถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของประกาศ และมติดังกล่าวด้วยเหตุการณ์คัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนมิได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ได้

 

 

การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้ จึงเป็นการยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกัน เมื่อคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จึงต้องห้ามตามข้อ 36 (1) แห่งระเบียบของที่ประขุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ว่าเป็นการฟ้องคดีคนละเหตุกันและไม่เคยปรากฎอยู่ในคดีหมายเลขดำที่ 1764/2564 จึงไม่อาจรับฟังได้

 

 

ส่วนที่ผู้ฟ้องอุทธรณ์ว่าการฟ้องคดีนี้ เป็นการฟ้องคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยเทียบเคียงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.316/2564 ซึ่งวินิจฉัยไว้ว่า ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเวนคืนที่ดินเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดิน อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ในการสัญจร โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการตามโครงการนี้เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงเป็นการฟ้องคดีเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะนั้น

 

 

เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้ โดยอ้างเหตุว่าข้อเสนอการคัดเลือกเอกชนของผู้ฟ้องคดีได้รับการประเมินคะแนนสูงที่สุด แต่ถูกยกเลิกการคัดเลือกและจัดให้มีการคัดเลือกเอกชนอีกครั้ง เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับคัดเลือกในครั้งหลัง ย่อมเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีนี้เพื่อรักษาประโยชน์ในการเข้าทำสัญญากับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และได้สิทธิในการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้ฟ้องคดีเอง

 

 

"การฟ้องคดีนี้จึงไม่ใช่ การฟ้องคดีเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่อย่างใด การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น" คำสั่งศาลปกครองสูงสุด คำร้องที่ 442/2566 คำสั่งที่ 1209/2566 ลงวันที่ 9 ส.ค. 2566

 

 

สำหรับคดีนี้ ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า กรมธนารักษ์ ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) กระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงขอให้ศาลฯมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมธนารักษ์ และเพิกถอนมติคณะกรรมการคัดเลือกฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก

 

 

พร้อมทั้งขอให้ศาลฯ มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2565 ที่เห็นชอบผลการคัดเลือกให้บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นคู่สัญญาในการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก และร่างสัญญาและเงื่อนไขสำคัญของสัญญาฯ

 

 

ทั้งนี้ ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นเพื่อทำหน้าที่คัดเลือกเอกชน พิจารณาร่างประกาศเชิญชวนเข้าร่วมโครงการ และดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

 

เป็นเพียงกระบวนการภายในของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการดำเนินโครงการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนเข้าร่วมโครงการ และเตรียมการในการออกคำสั่งทางปกครอง ยังไม่ได้กระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดียังไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

 

ส่วนคำขอให้ศาลเพิกถอนมติของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) และคณะกรรมการที่ราชพัสดุ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) เป็นการดำเนินการภายในของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามและเตรียมการเข้าทำสัญญากับเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก ไม่ได้มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีที่เป็นผู้ยื่นข้อเสนอเพื่อคัดเลือกตามประกาศเชิญชวนเอกชนดังกล่าวที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติให้บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกแล้ว

 

 

ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีขอให้เพิกถอนมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ข้างต้น ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เช่นเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด