เศรษฐา รับข้อติติง อดีตผู้ว่าธปท. - ลั่น เดินหน้าเต็มสูบ กระเป๋าเงินดิจิทัล
นายกรัฐมนตรี "เศรษฐา ทวีสิน" รับรู้ถึงข้อห่วงใยว่า ด้วยโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต " กระเป๋าเงินดิจิทัล" ที่มาจากอดีตผู้ว่าธปท. แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถือว่าเป็น นโยบายหลักของรัฐบาล ดังนั้นเดินหน้าเต็มประตู เผยตรวจราชการน้ำท่วมที่อุบลราชธานี ชาวบ้านถามความคืบหน้า
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การที่นายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว และแชร์ข้อมูลว่าด้วย โครงการเงินดิจิทัล , ดิจิทัลวอลเล็ต หรือ กระเป๋าเงิน จิทัล เป็นการให้ความคิดเห็น รัฐบาลก็ต้องฟัง แต่ว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายหลัก ดังนั้นก็ต้องพยายามให้รัดกุมอาจมีการปรับปรุง หรือว่าดูแลให้มันเหมาะสมขึ้น รับฟังความคิดเห็นทั้งหมดของทุกๆ ฝ่าย อย่างไรก็ตามผู้เห็นด้วยต่อโครงการนี้ก็มีเช่นกัน ต้องฟังทุกคน ให้เกียรติทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องรับฟังความคิดเห็น ซึ่งในการเดินทางมาตรวจราชการจากปัญหาน้ำท่วมที่อุบลราชธานี ประชาชนในพื้นที่ก็สอบถามความคืบหน้าต่อโครงการนี้
.
อนึ่งเนื้อหาที่ นายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท. ) โพสต์ ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ เนื้อหา มีดังนี้
.
"ถ้าแพทย์รักษาผู้ป่วยผิดพลาด อาจจะสร้างผลกระทบให้กับชีวิตของผู้ป่วยหนึ่งคนและครอบครัว
.
ถ้าวิศวกรสร้างตึกหรือสะพานผิดพลาด อาจจะหมายถึงชีวิตคนหลายสิบหรือหลายร้อยคนที่ใช้งาน
.
แต่ถ้านักเศรษฐศาสตร์ทำนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาดแล้ว อาจจะกระทบต่อชีวิตของคนหลายสิบล้านคนทั้งประเทศ
.
วันนี้ ด้วยพลังของตลาดที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แค่ผู้มีอำนาจรัฐเริ่มคิดจะทำนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่รับผิดชอบ ก็ส่งผลเสียต่อชีวิตคนได้ทั้งประเทศแล้ว ผ่านกลไกของตลาดเงินและตลาดทุน
.
เรามีตัวอย่างนโยบายภาครัฐจากอดีตหลายอันที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้นๆ แต่สร้างความบิดเบือนให้กับกลไกตลาดและโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาระทางการคลังแบบได้ไม่คุ้มเสีย และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพยาวนานไปอีกหลายปี ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด หรือโครงการรถคันแรก
.
ถ้าเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยการทำนโยบายที่หวังผลต่อ GDP แค่ช่วงสั้นๆ ผลที่จะเกิดขึ้นกับฐานเสียงในการเลือกตั้ง 4 ปีข้างหน้าอาจจะกลับทิศได้อีกด้วย ถึงเวลาใกล้เลือกตั้งรอบหน้า เศรษฐกิจที่โดนกระตุ้นด้วยยาโด๊ปเงินดิจิทัลก็คงหมดพลังลงพอดี นอกจากนี้ โครงการภาครัฐดีๆ อีกนับสิบนับร้อยโครงการที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนในวันนี้และวันหน้าอาจถูกตัดงบประมาณลง
.
ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดว่าประชาชนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป มากกว่านโยบายประชานิยม เชื่อว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า กระแสเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปจะยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ในขณะที่ทรัพยากรด้านการคลังจะยิ่งจำกัดมากขึ้น
.
นอกจากนี้ ถ้าผู้มีอำนาจรัฐเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยนโยบายที่ไม่รับผิดชอบแล้ว ความน่าเชื่อถือจะไหลลงเร็วทั้งจากในและต่างประเทศ จะทำอะไรต่อไปก็จะยากไปหมด มีแต่ความไม่เชื่อมั่น ความแคลงใจกัน นโยบายที่จะสนับสนุนการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคตของประเทศจะยิ่งเกิดได้ยากมาก
.
โจทย์ในวันนี้น่าจะเป็นว่า จะช่วยกันหาทางลงให้กับนโยบายที่หาเสียงไว้แล้วแต่ไม่ควรทำได้อย่างไร มากกว่าที่จะเดินหน้าต่อทั้งที่รู้ว่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย
........