ข่าว

แนะ รบ. เร่งคุยสหรัฐ แต่ทิ้งไพ่ทีละใบ เตือนสินค้าจีนทะลักเข้าไทย

แนะ รบ. เร่งคุยสหรัฐ แต่ทิ้งไพ่ทีละใบ เตือนสินค้าจีนทะลักเข้าไทย

03 เม.ย. 2568

พรรคประชาชน แนะรัฐบาล เร่งหารือสหรัฐ ไม่เพียงกระทบส่งออก แต่การลงทุน จะชะงัก พร้อมเตือนระวังสินค้าจีนทะลักเข้าไทย

3 เม.ย. 2568 ทีมนโยบายเศรษฐกิจพรรคประชาชน นำโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่อกรณีนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากไทยอีก 36% เป้าประสงค์ในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนหน้าที่เพียงต้องการลดการขาดดุล แต่ครั้งนี้ต้องการรายได้เข้ารัฐเพื่อทดแทนภาษีเงินได้ที่กำลังจะประกาศลด และต้องการให้นักลงทุนย้ายฐานกลับสหรัฐอเมริกา 

 

น.ส.ศิริกัญญา เปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบต่อจีดีพีไทยในปี 2568 มองว่า ขึ้นอยู่กับผลของการเจรจา จึงขอให้รัฐบาลใช้การเจรจาอย่างเร่งด่วนและรัดกุม เพราะหากไม่ทำอะไรเลยหรือการเจรจาไม่เป็นผล จะกระทบกับมูลค่าส่งออกรวมมากกว่า 1% ทำให้จีดีพีอาจหดตัวมากกว่า 1% จนต่ำกว่าเป้า 2% ได้

 

หากสามารถเจรจาลดภาษีลงมาได้เหลือ 25% จีดีพีจะลดลง 0.8% แต่ถ้าสามารถเจรจาลดภาษีลงมาได้ที่ขั้นต่ำสุดที่ทรัมป์ประกาศ 10% จีดีพีจะลดลงราว 0.3% สำหรับกลุ่มสินค้าคาดว่า สินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักคืออุปกรณ์สื่อสาร ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ยางล้อ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า อย่างไรก็ดี มิใช่เพียงภาคส่งออกเท่านั้น แต่การลงทุนของบริษัทต่างๆ ก็จะหยุดชะงักด้วย เพื่อรอให้ฝุ่นหายตลบถึงจะตัดสินใจลงทุนกันครั้งใหม่

แนะ รบ. เร่งคุยสหรัฐ แต่ทิ้งไพ่ทีละใบ เตือนสินค้าจีนทะลักเข้าไทย

 

น.ส.ศิริกัญญา เสนอต่อไปยังรัฐบาลและคณะทำงานผู้ทำหน้าที่เจรจาที่เพิ่งตั้งขึ้นว่า ต้องเรียกร้องให้มีการทบทวน โดยนำตัวเลขอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ยังไม่นำมาคำนวณ เช่น ดุลบริการ ที่สหรัฐฯ ได้ดุลกับไทยอยู่แล้ว

 

ด้านวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เสนอให้แยกผลกระทบออกเป็น 2 ส่วน คือ ผลทางตรง ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่พึ่งตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก คือ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ กลุ่มนี้จะได้รับผลรุนแรงรวดเร็ว เพราะเราส่งออกไปสหรัฐฯ รวมแล้ว 55,000 ล้านเหรียญ คิดเป็น 19% ของการส่งออกทั้งหมด และเกินดุลกับสหรัฐฯ ถึง 45,600 ล้านเหรียญ แม้การขยายตัวของการส่งออกช่วงไตรมาสแรกปีนี้ค่อนข้างดี เพราะบริษัทส่วนใหญ่เร่งส่งออกสินค้าไปสต็อกไว้ที่สหรัฐฯ ก่อน หนีความไม่แน่นอนของนโยบายกำแพงภาษี ของจริงจะเกิดขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป

 

ผลกระทบอีกด้านเห็นว่า อย่าละเลย คือ ผลกระทบทางอ้อม 3 ชั้น ที่ไม่ควรมองข้าม 

  • ชั้นที่ 1 สินค้าที่ส่งไปยังประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไทยส่งออกไปเม็กซิโก เพื่อประกอบส่งเข้าสหรัฐฯ อีกทีก็มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท 
  • ชั้นที่ 2 การแข่งขันรุนแรงขึ้นในตลาดประเทศอื่นๆ จากการที่ผู้ส่งออกหนีจากตลาดสหรัฐฯ  เช่น ในตลาดประเทศออสเตรเลีย ก็มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เข้ามาชิงส่วนแบ่งของไทย 
  • ชั้นที่ 3 คือ สินค้าขั้นกลางอย่างยางพาราและเม็ดพลาสติก ที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อเข้าตลาดสหรัฐฯ ยอดตรงนี้ก็จะตกลงไปด้วย

 

นายวีระยุทธ เสนอแนวทางการรับมือเฉพาะหน้าว่า ไทยต้องเจรจาอย่างมียุทธศาสตร์  “อย่าให้ทีเดียวหมด เก็บไพ่ในมือไว้ปล่อยทีละใบ” ตัวอย่างไพ่ใบสำคัญที่ไทยอาจนำมาเป็นกลยุทธ์ต่อรองได้ คือ 
 

มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่ไทยมีอยู่ 166 มาตรการ ต้องเอามาจัดลำดับความสำคัญ ว่าแต่ละตัวหากเปิดให้สหรัฐฯ แล้วจะส่งผลต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคไทยอย่างไร เลือกทำเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก่อน เช่น เพิ่มสิทธิแรงงาน จากนั้นเปิดรับการนำเข้าแบบ “มียุทธศาสตร์” คือ เลือกสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลาย

 

ทั้งนี้นายวีระยุทธย้ำว่า รัฐบาลต้องเปิดข้อมูลผู้ได้ผู้เสียจากของที่จะเอาไปต่อรอง อย่ามุบมิบเจรจา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการเปิดเสรีกับจีนที่ผู้เสียประโยชน์ไม่รู้ตัวและไม่ได้รับความช่วยเหลือให้เตรียมพร้อมรับมือ และเหนืออื่นใด คือต้องเริ่มจินตนาการถึง “โลกที่ไม่มีอเมริกาและจีน” ว่าไทยจะปรับซัพพลายเชนแต่ละสินค้าอย่างไร เพื่อรับมือภาวะสงครามการค้าที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ 

 

ด้านนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ แนะนำให้พร้อมรับมือการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่จะรุนแรงขึ้นอีก หลายเรื่องรัฐบาลพูดมานานอยู่ในแผนที่จะทำ แต่ยังไม่มีกำหนดเสร็จชัดเจน เช่น การกำกับแพลตฟอร์ม การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ  การให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบหากปล่อยให้มีการขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์ม

 

การเพิ่มจำนวนมาตรฐานบังคับเพื่อขยายความคุ้มครองประเภทสินค้าให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงและเจ้าหน้าที่สามารถยึดอายัดได้ สิทธิพลกล่าวว่า เรื่องเหล่านี้รัฐบาลพูดมาตั้งแต่กันยายนปี 2567 แต่ยังไม่มีการออกมาตรการมาบังคับใช้ เช่น เรื่องการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำถามคือเรื่องนี้เมื่อไหร่จะเสร็จ ตราบใดที่ยังไม่เสร็จ รัฐก็ไม่มีประสิทธิภาพในการกำกับควบคุมมาตรฐาน คุณภาพสินค้า การตรวจสอบภาษี ตลอดจนการลงโทษหากผู้ประกอบการต่างชาติกระทำผิด 

 

เรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้า วันนี้มีเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ว่าถูกสินค้าจากต่างชาติทุ่มตลาด หลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด กระทั่งได้รับการสนับสนุนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งภายใต้กระบวนการปัจจุบัน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการประสบความยากลำบากในการรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง รัฐจะสามารถช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ได้อย่างไร เช่นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน 

 

ในเรื่องมาตรฐานบังคับ ผ่านมาครึ่งปี ที่อยู่ในลิสต์ว่าจะออกมาตรฐานก็มีจำนวนเท่าเดิม จำนวนที่เพิ่มและมีผลบังคับใช้แล้วมีเพียง 1-2 มาตรฐาน ความเร็วในอัตรานี้ ไม่เพียงพอต่อการกำกับสินค้าต่างชาติ นอกจากนี้ยังควรเร่งรัด คือการตรวจจับที่ด่านศุลกากรให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะเป็นด่านแรกของการที่สินค้าเหล่านี้เข้ามาในประเทศ แม้รัฐบาลจะบอกว่าปัจจุบันตรวจสอบหรือสกรีนเพิ่มขึ้นแล้ว บางช่องทางถึงขนาดบอกสกรีน 100% แต่การที่สินค้าเหล่านี้ยังรอด แสดงให้เห็นว่าการตรวจยังมีช่องโหว่

 

ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาชนปิดท้ายว่าจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอญัตติด่วนเพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหา รวมถึงใช้กลไกกรรมาธิการและการสื่อสารสาธารณะในการเสนอแนะรัฐบาล เพราะสงครามการค้ามีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต