พบเด็ก 'บูลลี่ในโรงเรียน' ร้อยละ 40
นักจิตวิทยาคลินิก เผย พบเด็กนักเรียน "บูลลี่ในโรงเรียน" ถึง 40% ชงบรรจุหลักสูตรแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
วันที่ 19 ธ.ค. 2562 - ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา นักจิตวิทยาคลินิก และนักวิชาการด้านคุ้มครองเด็ก กล่าวว่าเด็กที่ถูกรังแกต่อเนื่องจะแสดงอาการอยู่ 2 ประเภท คือ 1.เก็บกดจนมีอาการซึมเศร้าและทำร้ายตัวเอง และ 2.แสดงออกภายนอกด้วยการลงมือกระทำความรุนแรง ต่อสู้จนกลายเป็นอาชญากรเด็ก
อ่านข่าว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีหลายเคสที่เกิดเป็นข่าวและไม่เกิดเป็นข่าว ที่เป็นความรุนแรงในโรงเรียนอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเกิดมาจากการกลั่นแกล้งกัน งานวิจัยที่ตนเคยทำเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนพบว่ามีเด็กถูกรังแกถึง 40% เพราะฉะนั้นที่ปรากฏเป็นข่าวอาจจะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
กรณีเด็ก ม.1 ลงมือยิงเพื่อนที่ล้อเลียน จนเสียชีวิตมีการสันนิษฐานว่าเป็นการเลียนแบบการใช้ความรุนแรงจากเกมด้วยนั้น ดร.สมบัติ บอกว่า ก็มีหลายปัจจัยที่เป็นแรงหนุนให้เกิดความรุนแรงไม่เฉพาะแค่การเลียนแบบเกม แต่พฤติกรรมของผู้ใหญ่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคนอื่นๆ ที่หาทางออกด้วยการใช้ความรุนแรง ก็มีส่วนให้เด็กเลียนแบบได้ รวมไปถึงละคร ภาพยนตร์ต่างๆเพราะฉะนั้นในแต่ละเคสจึงไม่ควรลงน้ำหนักว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป
แต่จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือสพฐ. ได้เชิญตนให้เข้าร่วมประชุม เพื่อหาทางออกปัญหาเด็กรังแกในโรงเรียน วันที่ 26 ธันวาคมนี้ เพื่อเตรียมลงพื้นที่สำรวจสถิติ เด็กที่รังแกกันทั้งประเทศ โดยใช้เวลาในการสำรวจประมาณ 5 เดือน ก่อนที่จะกำหนดเป็นนโยบายแก้ไขปัญหาในระยะยาว
ดร.สมบัติ มีข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ที่มีการออกกฎหมายให้โรงเรียนต่างๆ ต้องมีกิจกรรมป้องกันการรังแกกัน มีบททดสอบ และการประเมินผล ซึ่งหากสถานศึกษาหรือโรงเรียนใดไม่ปฏิบัติตามก็จะมีบทลงโทษ เช่น การตัดงบประมาณ เป็นต้น
รูปแบบในการจัดกิจกรรม ก็อย่างเช่น การสร้างสันติวัฒนธรรมในโรงเรียน โดยครูและผู้ปกครอง ต้องมีวิธีการลงโทษโดยไม่ใช้การลดความรุนแรง เพื่อเด็กให้เห็นว่าทางออกวิธีอื่น ที่แก้ปัญหาได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง มีการอบรม เรียนรู้การจัดการความขัดแย้ง โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้ง โดยบรรจุลงไปในหลักสูตร ซึ่งประเทศที่มีการบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องการจัดการกับความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรงตัวอย่างเช่น ประเทศเดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมนี เป็นต้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสอน ให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ว่าเวลาถูกทำร้ายต้องทนทรมานแค่ไหน ให้รับรู้ความเจ็บปวดของคนอื่น ถ้าเด็กเข้าใจคนอื่นก็จะไม่รังแกกัน หากรัฐยังปล่อยปละละเลยให้สถิติการรังแกกันในโรงเรียนมีเพิ่มสูงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบไปยังเด็กที่ถูกรังแกให้เกิดความกังวล สูญเสียคุณค่าในตัวเอง ส่วนเด็กผู้รังแกก็จะกลายเป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียน เมื่อโตขึ้นมา หากเป็นนักการเมืองก็จะไม่เห็นหัวประชาชน
นักจิตวิทยาคลินิก บอกว่า กรณีเด็กชายชั้น ม. 1 ที่ยิงเพื่อนจนเสียชีวิตต้องอธิบายให้สังคม เข้าใจว่าเขาถูกรังแก และต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งถ้าเราช่วยกันทัน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น โดยก่อนที่จะมีนโยบายใดๆออกมาการแก้ไขปัญหาระยะสั้นคือต้องปลูกจิตสำนึกให้กับครูและผู้ปกครองให้เห็นว่าการรังแกกันล้อเลียนกลั่นแกล้งในโรงเรียนไม่ใช่ปัญหาเล็กๆแต่เป็นปัญหาใหญ่ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งจะต้องสอดส่องดูแล ตักเตือนไม่ให้เกิดขึ้น