กว่าครึ่งศตวรรษ ‘ม.รามคำแหง’ ตลาดวิชา ค่าหน่วยกิตถูกที่สุดในโลก
กว่าครึ่งศตวรรษ ‘ม.รามคำแหง’ ตลาดวิชา ค่าหน่วยกิตถูกที่สุดในโลก กำลังเผชิญมรสุม เกิดศึกชิงอำนาจ ผลประโยชน์มหาศาล หวั่นละเลยมาตรฐานสังคมไทย ส่งผลระทบนักศึกษาเรือนแสน พนักงานเกือบอีก 5,000 ชีวิต ไร้ทิศทาง?
มหาวิทยาลัยรามคำแหง (Ramkhamhaeng University ) มร./RUได้รับการสถาปนาเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐมาตั้งแต่ พ.ศ.2514 ณ บริเวณที่ดินทั้งหมดประมาณ 300 ไร่เศษ ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ.2514 กำหนดให้มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยแบบ ตลาดวิชา มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเปิด ม.รามคำแหง เพื่อรองรับจำนวนผู้เรียนจำนวนมากที่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐไม่เพียงพอกับจำนวนประชากรที่มีอัตราการเกิดเป็นหลักล้านคนต่อปี
ความพิเศษของ รามคำแหง เป็น มหาวิทยาลัย ในประเทศไทยเพียงไม่กี่แห่งที่ใช้ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เป็นที่ขับเคลื่อนและวางแผนก่อนจะเปิดการเรียนการสอน
สมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ปรากฏว่า รศ.ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ได้รับการแต่งตั้งโดยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2513 ให้เป็นประธานใน “คณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง” พร้อมคณะกรรมการเตรียมการฯ ท่านอื่นๆ อีก 7 ท่าน ทำหน้าที่เตรียมการจัดตั้งม.รามคำแหงในด้านต่างๆ เพื่อให้ทันการเปิดในปีการศึกษา 2514
คณะกรรมการเตรียมการฯ ที่มี รศ.ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ เป็นประธาน ได้เสนอต่อรัฐบาล ขอใช้ที่ดินและอาคารต่างๆ ในสถานที่แสดงสินค้านานาชาติ ของกรมเศรษฐสัมพันธ์ กระทรวงเศรษฐการ หรือ ปัจจุบันคือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นสถานที่ตั้งชั่วคราว และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงได้เริ่มปรับปรุงสถานที่และใช้หอประชุม A.D.1 (Auditorium1) เป็นสถานที่ทำงานของสำนักงานอธิการบดี นับเป็นสถานที่ทำงานแห่งแรกของม.รามคำแหง
มีนาคม 2514 ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ครั้งแรก ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล มี จอมพลถนอม กิตติขจร ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย เป็นประธาน โดยได้รายงานผลการเตรียมการฯ ให้ที่ประชุมรับทราบ
ประชุมสภาม.รามคำแหงในครั้งนั้น มีวาระสำคัญคือ การแต่งตั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกและเสนอให้แต่งตั้ง
- นายศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี
- นายไพบูลย์ สุวรรณโพธิ์ศรี ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะบริหารธุรกิจ
- นายสง่า ลีนะสมิต ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์
- นายอภิรมย์ ณ นคร รักษาการในตำแหน่งคณบดีคณะศึกษาศาสตร์
- นายอุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ รักษาการในตำแหน่งคณบดีคณะมนุษยศาสตร์
- นายธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล
4 มิถุนายน 2514 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 88 ตอน 59 ฉบับพิเศษ หน้า 5 และรศ.ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งแต่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2514 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2516
ม.รามคำแหง ตลาดวิชา ราคาถูก
มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐแห่งนี้ ผลัดเปลี่ยนอธิการบดี และนายกสภามหาวิทยาลัย มาหลายครั้ง ในยุคแรกๆ แม้มีข้อขัดแย้งช่วงชิงอำนาจระหว่างคณะรัฐสาสตร์ กับ คณะนิติศาสตร์ แต่กลไกการจัดการศึกษายังขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายวิทยาเขตกระจายทั่วประเทศไทยรวมถึงใน23ประเทศ ด้วยค่าหน่วยกิตที่ถูกที่สุดในโลกจากเริ่มต้นที่หน่วยกิตละ 18 บาท และขยับเพิ่มเป็นหน่วยกิตละ 25 บาท มากว่า 30 ปีจนถึงปัจจุบัน
การไขว่คว้าเพื่อได้ปริญญามาเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูล ไม่ไกลเกินฝันของครอบครัวคนไทยระดับฐานราก เมื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงเปิดกว้างรับคนเข้าเรียนแบบไม่จำกัดจำนวน สามารถเรียนแบบออนไลน์ หรือ เรียนออนไซต์ ได้
หลักสูตรเปิดกว้างแต่ครอบคลุม ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่สามารถเรียนรู้คู่ทำงาน ทำให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐแห่งนี้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางของคนยากจนที่ฝันอยากคว้าใบปริญญา แม้วันเวลาเปลี่ยน จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในแต่ละปีกว่าครึ่งแสน ไม่นับรวมที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วจำนวนหลายล้านคน กระจายอยู่ทุกองค์กรภาครัฐ-เอกชน
แม้ในอดีตช่วงเวลาความยากลำบากของม.รามคำแหง ที่มีความเห็นต่างระหว่างการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ม.นอกระบบ) หรือ มหาวิทยาลัยของรัฐ แต่ด้วยพระบารมีของสถาบันฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหงยังคงอยู่เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแบบตลาดวิชา เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้เรียนปริญญาในราคาแสนถูก
แหล่งวิชาการสร้างคนจน ถึงวันนี้อายุกว่าครึ่งศตวรรษ มีพนักงาน หรือ เจ้าหน้าที่ 4,000-5,000 คน หากเทียบภาคเอกชน นับเป็นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ความขัดแย้งของฝ่ายบริหารสูงสุดขององค์กร อธิการบดี กับฝ่าย สภามหาวิทยาลัยได้สร้างความอลเวงวุ่นวายให้กับฟันเฟืองเหล่านี้ที่ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นอย่างยิ่ง
ว่ากันว่า ความขัดแย้งมีมูลมาจากผลประโยชน์จำนวนมหาศาล หรือไม่นั้น สังคมไทยย่อมรับรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายพึงตระหนัก มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสมบัติของแผ่นดินไทย ผดุงประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อใคร หรือเป็นสมบัติของใคร
หยุดทะเลาะกัน ย้อนมาให้ความสำคัญที่นักศึกษา ผลประโยชน์ของผู้เรียน ส่งต่อผลประโยชน์เพื่อชาติ อย่าลืมว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน
การโต้ตอบกันไปมา โดยไม่ยึดข้อกฏหมาย เพื่ออ้างสิทธิ์ หรือช่วงชิงอำนาจกัน มีแต่จะทำให้ทุกอย่างพัง กระทบชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเมื่อต่างฝ่ายต่างมีสุดยอดนักกฏหมายเป็นที่ปรึกษา เป็นครูของครู ระดับอาจารย์นักกฏหมาย
ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ควรเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลัง ได้จดจำแต่สิ่งดีๆ อย่าลืมมาตรฐานของสังคมไทย ไม่ว่าคุณจะใหญ่มาจากไหน หรือ เป็นใคร ควรเคารพกฏหมาย มิใช่หรือ!!!
ขอบคุณภาพ : เพจจดหมายเหตุดิจิทัล มหาวิทยาลัยรามคำแหง
...กมลทิพย์ ใบเงิน...เรียบเรียง