ข่าว

ศาลสั่งถอนมติ 'สภา ม.รามคำแหง' ปลดพ้น 'อธิการบดี' ชี้เป็นคำสั่งไม่ชอบ กม.

ศาลสั่งถอนมติ 'สภา ม.รามคำแหง' ปลดพ้น 'อธิการบดี' ชี้เป็นคำสั่งไม่ชอบ กม.

28 เม.ย. 2566

ศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติ สภา ม.รามคำแหง ปลด 'สืบพงษ์' พ้นตำแหน่งอธิการบดี ม.ราม ศาลชี้เป็นมติไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสนำพยานหลักฐานชี้แจ้งก่อนลงมติ

ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ บ.12/2565 หมายเลขแดงที่ บ.116/2566 ระหว่าง นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ฟ้องคดี กับ สภามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 1 ศ.สมบูรณ์ สุขสำราญ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ 2 และนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดี

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติในการประชุมครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2565 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคำสั่งที่ 128/2564 ลงวันที่ 24 ธ.ค. 2564 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งที่ 131/2564 ลงวันที่ 28 ธ.ค. 2564 

 

ให้ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติและคำสั่งดังกล่าว รวมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยสั่งทุเลาการบังคับตามมติและคำสั่งดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ในการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2564 มีกรรมการสภามหาวิทยาลัยบางรายได้อภิปรายไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีไม่เรียกประชุมสภามหาวิทยาลัยตามที่กรรมการฯ จำนวนไม่น้อยกว่า 7 คน มีหนังสือร้องขอและได้มีการตั้งคำถามเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจง ซึ่งผู้ฟ้องคดีก็ได้ชี้แจงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงเหตุผลที่ผู้ฟ้องคดี ไม่เรียกประชุม

 

หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมได้แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ลงมติในสองประเด็น คือ

 

ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะปรึกษาหารือในเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีชี้แจงต่อไปหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติโดยเสียงข้างมากว่าจะประชุมปรึกษาหารือในเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีชี้แจงต่อไป 

 

ประเด็นที่สอง ผู้ฟ้องคดีจะต้องออกไปจากห้องประชุมขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทำการพิจารณาในประเด็นที่หนึ่งหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติโดยเสียงข้างมากว่าผู้ฟ้องคดีจะต้องออกไปจากห้องประชุมขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทำการพิจารณาในประเด็นที่หนึ่ง และเมื่อเสร็จสิ้นการลงมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1

 

ทั้งสองประเด็นแล้ว ผู้ฟ้องคดีก็ได้ออกไปจากห้องประชุม หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ทำการพิจารณาต่อไปจนกระทั่งมีการลงมติถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นได้ว่า ขณะเริ่มประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบเลยว่าจะมีการพิจารณาลงมติถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในวาระการประชุมนี้ คงมีก็แต่เพียงการอภิปรายและตั้งคำถามจากกรรมการสภามหาวิทยาลัยบางราย เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่เรียกประชุมสภามหาวิทยาลัยเท่านั้น 

 

ดังนั้น การชี้แจงของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการตอบคำถามต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามทางปกติของผู้เข้าร่วมประชุม โดยผู้ฟ้องคดีเองก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าตนจะต้องถูกพิจารณาถอดถอนออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในวาระการประชุมนี้ จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เตรียมพยานหลักฐานอย่างเต็มที่เพื่อโต้แย้งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1

 

และเมื่อมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นคำสั่งทางปกครองอันมีผลให้ ผู้ฟ้องคดีต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวเป็นการถาวรและเด็ดขาด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานเสียก่อน จึงเป็นการมีมติโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่มาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนด มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2564 ที่ให้ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีมติดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

ทั้งนี้ ให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่สั่งทุเลาการบังคับตามมติและคำสั่งที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

 

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสืบพงษ์ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้เป็นแรกที่ตนยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยศาลปกครองพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของสภา ม.รามคำแหง ที่ให้ถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่ง โดยศาลระบุว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีอีกที่ตนฟ้องสภา ม.รามฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง 

นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

นอกจากนี้ในวันที่ 9 พ.ค.นี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งในคดีที่ตนยื่นฟ้อง สภา ม.รามฯ ในความผิดฐานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อีกคดี